หลังจากวันที่ 28 ธ.ค. 63 ที่ผ่านมา ผู้ว่าฯสมุทรสาครได้ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งทางทีมแพทย์ได้ออกมาแจ้งว่าขณะนี้ผู้ว่าฯปอดอักเสบรุนแรง ต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ล่าสุดนั้น ทีมแพทย์เผย ผู้ว่าฯ ได้สติดีพูดคุยกันนานกว่า 10 นาที (ที่จริงพูดฝ่ายเดียว อีกฝ่ายทำได้แค่พยักหรือส่ายหน้า และแสดงสีหน้าได้บ้าง เพราะยังใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ ทั้งได้บอกเล่าความคืบหน้า "การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในสมุทรสาคร" ซึ่งล่าสุดคืบหน้าไปมากจนรับคนไข้ได้กว่าพันเตียงแล้ว และกำลังจะขยายอีกจนได้ 2,000+ เตียง "พอได้ยินเรื่องนี้เหมือนจี้ถูกจุด สีหน้าท่านดูผ่อนคลายลงมาก"
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "คืนสู่รังใหญ่ของสำนักฝึกวิชาแพทย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภารกิจแรกคือเข้าไปเยี่ยมท่านผู้ว่าฯ ที่ห้องแยกโรค โดยต้องใส่ชุด PPEเต็มยศ"
วันนี้ผู้ป่วย( ผู้ว่าฯ) ได้สติดีจึงพูดคุยกันนานกว่า 10 นาที (ที่จริงพูดฝ่ายเดียว อีกฝ่ายทำได้แค่พยักหรือส่ายหน้า และแสดงสีหน้าได้บ้าง เพราะยังใส่ท่อช่วยหายใจอยู่) ได้แจ้งความคืบหน้าด้านการเจ็บป่วยของเจ้าตัวพร้อมแผนการดูแลรักษาต่อไปของทีมแพทย์ โดยเน้นขอความร่วมมือในการอดใจรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อกลับไปหายใจได้เองทั้งหมด และพยายามไม่ต่อต้านการช่วยหายใจเพื่อจะได้ลดปริมาณยาระงับความรู้สึกลง
นอกจากนั้นสิ่งหนึ่งที่อาจช่วยให้การรับรู้ของท่านดีขึ้นเร็ว คือการบอกเล่าความคืบหน้า "การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในสมุทรสาคร" ซึ่งล่าสุดคืบหน้าไปมากจนรับคนไข้ได้กว่าพันเตียงแล้ว และกำลังจะขยายอีกจนได้ 2,000+ เตียง "พอได้ยินเรื่องนี้เหมือนจี้ถูกจุด สีหน้าท่านดูผ่อนคลายลงมาก" แถมท้ายด้วยการให้ลูกสาวคนโตอัดคลิปเสียงมาเปิดให้ฟังผ่านอินเตอร์คอมนอกห้อง สีหน้าของคนทุกข์พลันมีความสุขฉาบขึ้นจนเห็นได้ชัด ยิ่งลูกสาวถามว่า "พ่อจำได้ไหมว่าวันนี้สำคัญอย่างไร" เจ้าตัวดูงง ๆ ตอนแรก แล้วจึงตอบรับด้วยการพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม "วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานปีที่ 34 ของท่านและภริยานั่นเอง"
ทั้งนี้ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ โพสต์ต่ออีกว่า ทำไมโรงพยาบาลสนาม จึงเป็นทางรอดของสถานการณ์โควิดขณะนี้ เป็นเพราะปริมาณผู้ป่วยในบางพื้นที่ล้นเกินศักยภาพเตียงที่เตรียมไว้ในโรงพยาบาลหลักของพื้นที่นั้น ถ้าปล่อยไปเช่นนั้น นอกจากควบคุมการระบาดในชุมชนไม่ได้แล้ว ยังจะทำให้มีการระบาดสู่บุคลากรโรงพยาบาลและผู้ป่วยอื่นของโรงพยาบาลด้วย การแยกคนป่วยในชุมชนที่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรงไปให้การดูแลรักษารวมกันใน รพ.สนาม แล้วนำเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือร่างกายไม่แข็งแรงไปดูแลในโรงพยาบาลหลัก จะช่วยให้เราค่อยๆ ควบคุมการระบาดของโรคได้ง่ายขึ้น แต่การจัดตั้ง รพ.สนามก็ต้องคำนึงถึงหลัก 3 P คือ
- Patient safety ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ
- Personnel safety บุคลากรที่ปฏิบัติงานต้องได้รับการป้องกันเป็นอย่างดีจากการรับเชื้อโรคโควิด
- Public safety ชุมชนรอบข้างจะต้องปลอดภัยจากการรับเชื้อโรคโควิดและเชื้อโรคอื่น
การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามรับมือโควิด ได้ดำเนินการมาตั้งแต่วิกฤตระลอกแรก แต่ได้ถูกขยายปริมาณมากขึ้นหลายเท่าตัวในระลอกนี้ เริ่มจากสมุทรสาคร ระยอง ชลบุรี และจันทบุรี และในอีกหลายพื้นที่ ถ้าเริ่มมีการใช้ศักยภาพเตียงในโรงพยาบาลหลักเกินขีดกำหนด โดยอาศัยการหนุนช่วยด้านบุคลากรจากนอกพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคน้อยกว่า วันนี้ได้ไปเยี่ยมโรงพยาบาลสนามแห่งที่สามของจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้ศาลพันท้ายนรสิงห์ แม้จะเตรียมการในเวลาอันสั้นแต่โรงพยาบาลบ้านแพ้วที่เป็นผู้รับผิดชอบก็สามารถทำตามหลัก 3 P ได้เป็นอย่างดี ในช่วงเย็นได้เห็นกิจกรรมให้ผู้ป่วยชายเล่นกีฬาตะกร้อ ส่วนฝ่ายหญิงเต้นแอโรบิก ปลื้มใจแทนแรงงานต่างชาติ สำหรับความเอื้ออาทรที่คนในแผ่นดินเราหยิบยื่นให้ไม่ต่างจากที่กระทำกับเพื่อนร่วมชาติ ไม่มีที่ไหนในโลกจะอบอุ่นเหมือนประเทศไทยของเราอีกแล้ว พรุ่งนี้ขอไปเยี่ยมเยียนทีมโควิดแม่สอดให้ถึงถิ่น #saveประเทศไทยจากภัยโควิดระลอกสอง
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก อีจัน