จากกรณี สถานบันชีวการแพทย์บูตันตัน ออกมาเปิดเผยว่าวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ของ บริษัทสัญชาติ ซิโนวัค ไบโอเทค มีประสิทธิภาพ 50.4% ในการทดลอง โดยวัคซีนตัวดังกล่าว เป็นวัคซีนชนิดเดียวกันกับที่ไทยซื้อ
ล่าสุด นพ.ยง ภู่วรวรรณศ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาเปิดเผยความรู้เรื่องวัคซีนโควิด ที่อย่าดูเพียงแค่ตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีนเท่านั้น เพราะผลของประสิทธิภาพของวัคซีน นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ต้องดูองค์ประกอบหลายอย่าง
"โควิด-19 วัคซีน ผลการศึกษาประสิทธิภาพจึงต่างกัน
ผลของประสิทธิภาพวัคซีนในการศึกษา
ต่างสถานที่ ต่างกลุ่ม ประสิทธิผลทำไม
ไม่เท่ากันเพราะ
การประเมินประสิทธิภาพ จะประเมินอะไร
ป้องกันการติดเชื้อ หรือ
ป้องกันการเกิดโรค (ติดเชื้อได้แต่ไม่เป็นโรค)
เป็นโรคแต่ไม่รุนแรง เช่นไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ไม่เสียชีวิต
ประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 จะประเมินตรงไหน ต้องชี้แจงให้ละเอียด ไม่ใช่บอกแต่ตัวเลข
ประเด็นที่ 2 ที่มีการประเมินผลวัคซีนเดียวกัน ทำในสถานที่และประชากรต่างกัน
ขึ้นอยู่กับกลุ่มประชากรที่ศึกษา ทำให้ผลต่างกัน เช่น
การศึกษาวัคซีน HIV ในประเทศไทย ได้ประสิทธิภาพป้องกันกันโรคได้ 30% ศึกษาที่แอฟริกา ได้ 0% เพราะ แอฟริกา มีความเสี่ยงสูงกว่าไทย
ในทำนองเดียวกัน การศึกษาวัคซีนท้องเสียโรตา
ในแอฟริกา ประเทศเมารี ได้ประสิทธิภาพ ร้อยละ 50 แต่ใช้วัคซีนเดียวกัน ทำในยุโรปได้ประสิทธิภาพสูง 83-90% เพราะแอฟริกาเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรค และการติดโรคได้สูงกว่าในยุโรป
ทำนองเดียวกันการศึกษาโควิดวัคซีน ถ้าทำในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ย่อมมีประสิทธิภาพป้องกันในการศึกษาต่ำกว่า การศึกษาในประชากรทั่วไป ที่มีความเสี่ยงต่ำ
การศึกษาของวัคซีนของจีนประสิทธิภาพที่จีนประกาศ 79% โดยรวม ตุรกี ประกาศผลประชากรทั่วไปได้ 91% และอินโดนีเซียได้ 65% ตัวเลขต่างกัน คือ บราซิลในบุคลากรทางการแพทย์ ได้ 50.4%
ดังนั้นประสิทธิภาพของวัคซีนในแต่ละตัว การแปลผลจะต้องดูองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงตัวเลข"
ทั้งนี้ หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปบนโลกออนไลน์ บรรดาชาวเน็ตที่เห็นโพสต์ต่างเข้าคอมเม้นต์ขอบคุณ นพ.ยง ภู่วรวรรณศ ที่ออกมาอธิบายและมอบความรู้เกี่ยวกับวัคซีนโควิด ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศไม่เคยรู้มาก่อน
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก Yong Poovorawan,pixabay