สืบเนื่องจาก พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า "อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด" ด้านหมอชลน่าน ซัด การพูดเช่นนี้คือการสารภาพกับประชาชนว่าหมดปัญญาแล้ว คนเป็นผู้บริหารประเทศจะพูดเช่นนี้ไม่ได้ เพราะเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องดูแลพี่น้องประชาชน
8 เมษายน 2564 น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับ การแก้ปัญหาและการป้องกันการระบาดไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลว่า ล้มเหลว ที่ผ่านมารัฐบาล ประกาศพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน(พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ระยะเวลานานกว่า 1 ปี กลับไม่สามารถที่จะแก้ไขการระบาดของไวรัสโควิดได้
ซึ่งชัดเจนว่า การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีนัยยะแอบแฝงทางการเมืองและการจัดซื้อจัดจ้างมากกว่า กรณีที่รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลหลายคนติดเชื้อโควิด-19 สะท้อนชัดเจนว่า ตัวคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ปล่อยปละละเลย แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพ กระทบไปถึงการบริหารจัดการวัคซีน รัฐบาลยิ่งช้า ยิ่งเสียโอกาส รวมทั้งไปมุ่งในวัคซีนยี่ห้อใด ยี่ห้อหนึ่งส่งผลให้มาตรการการควบคุมโรคจากวัคซีน ไม่ประสบความสำเร็จ และวัคซีนที่ฉีด ก็ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อได้ 100% เห็นได้จากรัฐมนตรีที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ก็ยังติดเชื้อได้อีก
รัฐบาลควรเปิดทางเลือกให้กับภาคเอกชนจนถึงประชาชนเกี่ยวกับหาจัดหาวัคซีนโควิด ไม่จำกัดเพียงแค่ยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง รัฐต้องสนับสนุนภาคเอกชนในการจัดหาวัคซีน ไม่ควรปิดกั้น หากโรงพยาบาลเอกชนใดมีความพร้อมและความสามารถในการจัดหาวัคซีน รัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้กับเขานำเข้าวัคซีนที่ดีที่สุดเพื่อบริการประชาชน
และกรณีพล.อ.ประยุทธ์ พูดว่าการระบาดของไวรัสโควิดรอบนี้ อะไรจะเกิดก็เกิด การพูดเช่นนี้คือการสารภาพกับประชาชนว่าหมดปัญญาแล้ว คนเป็นผู้บริหารประเทศจะพูดเช่นนี้ไม่ได้ เพราะเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องดูแลพี่น้องประชาชน การพูดเช่นนี้หมายถึงการปฏิเสธความรับผิดชอบต่อชีวิตประชาชน ดังนั้นวิกฤติโควิด-19 จะหนักขึ้น หากพลเอกประยุทธ์ หมดปัญญาแก้ปัญหาและไร้ความสามารถก็ควรที่จะลาออกหรือหาคนที่มีความสามารถเข้ามาช่วยทำงาน อย่าดื้อดึงเพราะประเทศจะเสียหายมากกว่านี้ น.พ.ชลน่าน กล่าว
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก EasyYukhon