ขณะที่ทางภาครัฐ พยายามหาช่องทาง ประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ ก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้น การดูแลผู้ติดเชื้อในระดับสีต่างๆ ไม่ได้ทั่วถึงเท่าที่ควร ทำให้ประชาชนต่างระมัดระวังตนเอง เพื่อจะได้ไม่ติดเชื้อ
ล่าสุด ( 19 มี.ค. 65 ) รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ หรือ หมอธีระ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ในเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat เผยข้อมูลการติดเชื้อโอมิครอน โดยมีเนื้อหาดังนี้
19 มีนาคม 2565 ทะลุ 467 ล้าน
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มสูงถึง 1,606,339 คน ตายเพิ่ม 4,901 คน รวมแล้วติดไปรวม 467,650,822 คน เสียชีวิตรวม 6,092,865 คน 5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เกาหลีใต้ เยอรมัน ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และอิตาลี
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 8 ใน 10 อันดับแรก และ 15 ใน 20 อันดับแรกของโลก จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 88.06 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 67.53 การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 35.62 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 30.56
สถานการณ์ระบาดของไทย เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 19 ของโลก BA.2 ทำระบาดซ้ำในยุโรปถ้วนหน้า ผ่านพีคของ Omicron ไปไม่นาน ประเทศต่างๆ ในยุโรปก็ระบาดกลับซ้ำอย่างรวดเร็วจาก BA.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ไวกว่า BA.1 ซึ่งเป็นพันธุ์ดั้งเดิม ล่าสุดประเทศออสเตรียประกาศกลับมาบังคับใส่หน้ากากในพื้นที่ปิด (indoor) อีกครั้ง คาดว่าจะเริ่ม 23 มีนาคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากการระบาดรุนแรงมากขึ้น
สาเหตุหลักไม่ได้เกิดจากตัวไวรัสแต่เพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญคือ การยุติมาตรการป้องกัน เปิดให้มีการใช้ชีวิตแบบปกติโดยมิได้ป้องกันตัว ทั้งๆ ที่จำนวนการติดเชื้อแต่ละวันของแต่ละประเทศยังมีสูงอยู่ ในขณะที่ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนก็มีแนวโน้มลดลงเมื่อเวลาผ่านไป สามปัจจัยคือ การไม่ป้องกันตัว ไวรัส และภูมิคุ้มกัน จึงเป็นเหตุผลอธิบายปรากฏการณ์ระบาดซ้ำอย่างไม่ต้องแปลกใจและเป็นบทเรียนสำหรับไทยเราเป็นอย่างดี ว่าไม่ควรเดินตาม
หลายคนมองแบบฉาบฉวยว่า เค้าเสรีใช้ชีวิตแล้ว เราก็ต้องทำตามบ้าง เปรียบดั่ง "เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม" แต่สุภาษิตดังกล่าวนั้นโบราณชนคงมิได้หวังให้นำมาใช้กับภาวะวิกฤติระบาดรุนแรงทั่วโลกเช่นนี้ และคงเสียใจหากนำไปสู่การนำไปใช้ในทางที่ผิดในทำนอง "เห็นเขาเดินตกเหว มาเถิดมาเร็ว ตกเหวตามกัน" สิ่งที่ไทยควรทำคือ เรียนรู้บทเรียนเค้า และหาทางที่ดีและปลอดภัยกว่าเค้า
บทเรียนของเค้าย้ำเตือนว่าการปะทุซ้ำรวดเร็วนั้น แม้จะฉีดวัคซีนกันมากกว่าไทย แต่พอการ์ดตกไม่ป้องกันดีพอ ก็เละเทะได้ ติดเยอะ ป่วยเยอะขึ้น และตายเพิ่มขึ้นได้ ยอดติดเรายังสูงมากติดอันดับต้นๆ ของโลก แถมอัตราการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นก็ยังน้อยมาก โดยชนิดวัคซีนพื้นฐาน (primary series) ก็ต่างจากเค้า ดังนั้นจึงมีความเสียเปรียบ ถ้าวิ่งโกยตาม เปิดเสรี ปักธงประจำถิ่นด้วยความห้าว โอกาสพลาดย่อมมีสูงกว่าเค้า
ข้อจำกัดของภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ Omicron
ล่าสุดงานวิจัยจาก UCSF สหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับโลกอย่าง Cell เมื่อ 17 มีนาคม 2565 ชี้ให้เห็นว่า ระดับภูมิคุ้มกันในน้ำเลือด Neutralizing antibody ที่เกิดจากการติดเชื้อ Omicron นั้นน้อยกว่าการที่ได้จากฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นถึง 3 เท่า
ทั้งนี้หากเปรียบเทียบระดับภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อต่างสายพันธุ์ พบว่า การติดเชื้อ Omicron จะมีระดับภูมิคุ้มกันน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้าราว 10 เท่า ด้วยข้อมูลต่างๆ ข้างต้น การติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron มาก่อน อาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำ และอาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อที่เกิดจากสายพันธุ์อื่นในอนาคต
ดังนั้น New Normal ในอนาคตที่เราจะเห็นนั้น จึงไม่น่าจะใช่ฉากทัศน์ที่บางหน่วยงานคาดหวังในอีกไม่กี่เดือนว่าโควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น โดยใช้ชีวิตแบบปกติในอดีตที่คุ้นชิน ควรยอมรับความจริงที่ยืนบนหลักฐานความรู้ที่ผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และนำมาออกแบบรูปแบบการใช้ชีวิตในสังคม ปรับแต่งระบบ โครงสร้าง กระบวนการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ให้สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยกว่าในอดีต
ความปกติในอนาคตอันใกล้ ไม่ใช่ความปกติอันตรายในอดีตที่เราคุ้นชิน จนกว่าการระบาดทั่วโลกจะอยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง
Servellita V et al. Neutralizing immunity in vaccine breakthrough infections from the SARS-CoV-2 Omicron and Delta variants. Cell. 17 March 2022.
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Thira Woratanarat