ข่าวที่ 1 : เจ้าของผับสระบุรีแฉกลับ “อัจฉริยะ” จัดฉากสาวมั่วสุม
เพจชมรมช่วยเหลืออาชญากรรม ของนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ได้โพสต์คลิปหญิงสาวรายหนึ่งอยู่ในห้องน้ำ ในมือถืออุปกรณ์และมีผงสีขาวแล้วสูดเข้าไป จนเหมือนกับการใช้ยาเสพติดบางชนิด ซึ่งร้านแห่งนี้นายอัจฉริยะระบุว่าเป็นสถานบันเทิงชื่อดัง อยู่ในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี
ต่อมาทางเจ้าของร้านได้โพสต์ตอบโต้ว่า ผู้หญิงที่มาเสพยาในร้านทางร้านยอมรับว่ารู้จัก และมีความเกี่ยวพันทั้งกับตำรวจระดับสูงนายหนึ่งใน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และวันเกิดเหตุผู้หญิงรายนี้มากับเพื่อนและขอกินเหล้าที่ร้าน ซึ่งเวลานั้นร้านปิดแล้ว ตนกำลังซ่อมไฟฟ้าในร้านกับทีมงานก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะก่อนหน้านี้เคยไปกินที่ร้านของผู้หญิงรายนี้ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
จนกระทั่งเพจของนายอัจฉริยะได้โพสต์ว่า ร้านของตนปล่อยให้มีการเสพยา จึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดย้อนหลัง ทำให้รู้ว่าผู้หญิงรายนี้เข้าไปในห้องน้ำตอนตี 4 ซึ่งเวลานั้นการ์ดของร้านกลับหมดแล้ว และคนที่ถ่ายคลิปก็เป็นเพื่อนในกลุ่มของเขา
ทางร้านจึงตัดสินใจนำคลิปที่ลงในเพจของนายอัจฉิรยะมาลงในเพจของร้าน เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์และประกาศให้เงินรางวัลนำจับผู้หญิงรายนี้ 5 หมื่นบาท แต่กลับกลายเป็นว่าถูกนายอัจฉริยะขู่ให้ลบคลิป ซึ่งทำให้ตนไม่เข้าใจเพราะนายอัจฉริยะ เป็นคนเปิดเรื่องนี้ จึงเชื่อว่าอาจมีเบื้องหลังเพื่อหวังผลเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ
ขณะที่นายอัจฉริยะ ชี้แจงถึงเรื่องที่บอกให้ทางร้านลบคลิปผู้หญิงออกเพราะเห็นว่าไม่เหมาะสม ที่สำคัญร้านนี้เคยถูกเจ้าหน้าที่กรมการปกครองเข้าไปตรวจเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว พบทั้งนักเที่ยวปัสสาวะสีม่วง และมียาเสพติด จนถูกสั่งปิดตามคำสั่ง คสช. 5 ปี แล้วกลับมาเปิดอีกได้อย่างไร
ด้านพันตำรวจโทณฐพล หอมจันทร์ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปรามตำรวจภูธรหนองแค บอกว่ายังไม่ได้เรียกผู้หญิงในคลิปมาสอบปากคำโดยอยู่ระหว่างตรวจสอบ จนถึงขณะนี้ทั้งนายอัจฉริยะ และเจ้าของร้านยังไม่ได้มาแจ้งความแต่อย่างใด
ข่าวที่ 2 : หนุ่มวัย 50 สาวไม่รับรัก บึ้ม!ใส่ห้อง
จากกรณีที่ตำรวจ สน.ลาดพร้าว ได้รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัยคาดว่าน่าจะเป็นระเบิด บริเวณหอพักแห่งหนึ่ง ภายในซอยนวมินทร์ 9 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร จึงรุดไปตรวจสอบพบระเบิดลูกเกลี้ยง ที่นายชาตรี สุขถาวร อายุ 50 ปี เป็นคนขว้างทิ้งเอาไว้ เหตุเพราะผิดหวังจากความรัก หลังแอบชอบลูกสาวเจ้าของอาคารที่พัก แต่โชคดีที่ระเบิดไม่ทำงาน
ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 14 ม.ค. 63 ตำรวจ สน.ลาดพร้าว ได้ทำการสอบปากคำ นายชาตรี สุขถาวร อายุ 50 ปี ผู้ก่อเหตุ โดยเจ้าตัวรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือทำจริง ก่อนเกิดเหตุได้ไปตื้อขอลูกสาวเจ้าของอาคารที่พักแต่งงาน เพราะแอบชอบมานานแล้ว ก่อนที่จะถูกแม่ของฝ่ายหญิงเดินหนีไปทันที ทำให้รู้สึกโกรธ เลยกลับมาเสพยาไอซ์ ก่อนนำระเบิดลูกเกลี้ยงที่เก็บได้ในสวนที่ จ.นครนายก ไปขว้างใส่ จากนั้นได้ขี่จักรยานยนต์วนกลับมาจนถูกจับกุมได้ในที่สุด
จากการตรวจสอบ พบว่า ระเบิดลูกดังกล่าว ถูกถอดสลักและกระเดื่องพร้อมใช้งาน แต่โชคดีที่ระเบิดเกิดด้าน เบื้องต้นได้ทำการตรวจสอบประวัตินายชาตรี พบว่า ไม่เคยก่อเหตุหรือถูกจับกุมในคดีอาชญากรรมใดมาก่อน จึงแจ้งข้อหา พยายามฆ่าผู้อื่น, มีและใช้วัตถุระเบิด และข้อหา "เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน)" ก่อนคุมตัวส่งศาลอาญารัชดา ฝากขังในวันนี้ต่อไป
ข่าวที่ 3 : นทท.ถูกชนไอโฟนร่วง ไล่ทำร้ายคนบนรถไฟฟ้า
เพจเฟซบุ๊ก “Red Skull-addict” ได้โพสต์คลิปวิดีโอนักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังไล่ทำร้ายคนไทยบนรถไฟฟ้า โดยมีพลเมืองดีพยายามเข้าห้าม ท่ามกลางผู้โดยสารจำนวนมาก พร้อมระบุข้อความว่า
“เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ 13 ม.ค. 63 เหตุกระทบกระทั่งระหว่างคนไทยกับชายชาวต่างชาติ บนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยเหตุเกิดจากคนไทยเดินไปชนแล้วโทรศัพท์ไอโฟน11 ตกร่วงพื้น แต่พูดอังกฤษไม่ได้ พูดได้แค่ “ซอรี่ๆ” ทำให้ดูเหมือนขอโทษแบบไม่จริงใจ เหตุการณ์เลยบานปลาย นักท่องเที่ยวต่างชาติจึงไล่ทำร้ายบนรถไฟฟ้า ดีที่มีผู้โดยสารคนอื่นช่วยกันไว้แล้วให้คนไทยลงจากสถานีไปก่อน”
หลังคลิปนี้ถูกแชร์ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก บางส่วนแสดงความคิดเห็นว่า ต้องแยกออกเป็นกรณีทำร้ายร่างกาย และความเสียหายต่อทรัพย์สิน แม้โทรศัพท์มือถือจะร่วงลงไปจริง แต่ก็ไม่ควรทำร้ายร่างกายแบบนี้ บางคนมองว่า การพูดคำว่า “ขอโทษ” อาจไม่เพียงพอ ต้องมีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย ขณะที่บางคนย้ำว่า ภาษาอังกฤษสำหรับการสื่อสารเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะจะได้เข้าใจตรงกัน และไม่เกิดเหตุบานปลายแบบนี้
ล่าสุดบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน สายสีน้ำเงิน เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เป็นความเข้าใจผิดของคู่กรณี โดยชาวต่างชาติเข้าใจว่าผู้โดยสารคนไทยถ่ายภาพแฟนสาวของตน แต่ข้อเท็จจริงผู้โดยสารคนไทยไม่ได้ถ่าย จึงเกิดการถกเถียงกันเกิดขึ้น และเมื่อถึงสถานี ผู้โดยสารชาวไทยได้ลงจากขบวนรถ แล้วไปแจ้งเจ้าหน้าที่ประจำสถานี พร้อมด้วยผู้โดยสารชาวต่างชาติคู่กรณี และเจรจาทำความเข้าใจกัน จนเข้าใจตรงกันว่า เป็นการเข้าใจผิดกัน เหตุการณ์จึงจบ ด้วยการแยกย้าย ไม่เอาความของทั้งสองฝ่าย
ขอขอบคุณรูปภาพและคลิปจาก เพจชมรมช่วยเหลืออาชญากรรม, เพจ Virgin เวอร์จิ้น’,
เพจอีจัน, ข่าวช่องวัน และ เพจ Red Skull-addict