ข่าวที่ 1 : ปะทะเดือด! “สิระ VS เสรีพิศุทธ์” หลังพูดแรงกับ “เอ๋-ปารีณา”
วันที่ 16 ม.ค.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุความวุ่นวายในการประชุมคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นประธานกรรมาธิการ และมีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ และ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ร่วมประชุมในกรรมาธิการ ป.ป.ช.
โดยระหว่างการประชุม พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้มอบหมายงานให้กรรมาธิการ แต่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ได้สอบถามว่าเหตุใด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ดีแต่สั่งให้คนอื่นทำงาน ไม่เห็นตนเองทำงานอะไรบ้างเลย อีกทั้งยังไม่ยอมเซ็นต์คำสั่งมอบหมายงาน ทำให้เกิดการโต้เถียงกันไปมา จน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ หลุดว่า น.ส.ปารีณา ว่า “เผือก” จากนั้น น.ส.ปารีณา ได้ขอให้ถอนคำพูด แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยืนยันไม่ถอนคำพูด ในระหว่างนั้น นายสิริ เจนจาคะ ได้เข้ามาในห้องประชุมพอดี เมื่อทราบเรื่องจึง บอกให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถอนคำพูด พร้อมยกเหตุผลว่า "เป็นผู้ชายไม่ควรด่าว่าผู้หญิงแบบนี้ ไม่สมกับเป็นวีรบุรุษนาแก" ทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ สั่งปิดการประชุมทันที ด้วยน้ำเสียง และสีหน้าที่ดุดัน ไม่พอใจ และลุกออกจากที่ประชุมทันที ก่อนจะพูดว่า “เข้ามาประชุมทุกครั้งดีแต่เข้ามาป่วน” และสถบคำหยาบ พร้อมสั่งให้เจ้าหน้าที่ อัดคลิปเหตุการณ์ไว้ เพื่อนำไปฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท นายสิระ ตะโกนว่า “ท่านเป็นลูกผู้ชาย ท่านเป็นสุภาพบุรุษ แต่ท่านกลับมาต่อว่าผู้หญิงว่า เผือก”
ขณะที่ทางพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ฉุนเฉียว ว่า "อะไร วันหนึ่งเดี่ยวก็มาไหว้ วันหนึ่งก็มา... อย่ามาสร้างอะไรแบบนี้ ปิดประชุมแล้ว ให้พูดแบบนี้ไปเลยจะได้ฟ้องหมิ่นประมาทได้ พร้อมทั้งกล่าวว่า แบบนี้คือมาป่วน และสบถคำออกมาในลักษณะอารมณ์ไม่สู้ดี โดยได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เดี๋ยวไปรอแถลงข้างนอก"
โดย นายสิระ ให้สัมภาษณ์ภายนอกห้องประชุม ว่า ยืนยันว่า ตนเองและ น.ส.ปารีณา ไม่เคยเข้าไปป่วนในที่ประชุม ทุกอย่างคุยกันด้วยเหตุและผล แต่ครั้งนี้ เกินไป เพราะ ใช้คำไม่สุภาพ กับผู้หญิง เมื่อเป็นแบบนี้ การประชุมครั้งต่อไป จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร และเมื่อถามย้ำว่า หลังจากนี้ จะทำงานร่วมกันได้อีกหรือไม่ นายสิระ บอกว่า หากทุกคนทำงานภายใต้ข้อบังคับ และ ไม่ให้ร้ายกัน ทุกอย่างก็จะเดินหน้าต่อไปได้. ส่วนตัวเอง ทำหน้าที่กรรมาธิการหลายคณะก็ไม่เคยมีปัญหา แบบนี้ พร้อมให้สื่อมวลชนถามกลับไปยัง พลตำรวจเอดเสรีพิศุทธ์ ว่าการประชุม ครั้งต่อไป จะทะเลาะกันอีกหรือไม่
ข่าวที่ 2 : สาวอัดคลิปตู้ซ่อนหนู! ล่าสุดทาสีใหม่-ล็อกแน่น หลังเป็นข่าว
โลกออนไลน์แชร์คลิปสาวชาวต่างชาติรายหนึ่ง ได้อัดคลิปวีดีโอกลางกทม. บริเวณสี่แยกอโศก โดยได้เดินเข้าไปเปิดตู้สื่อสารที่เป็นตู้เหล็กสีเขียว เผยให้เห็นสายไฟที่ชำรุดผุพัง อีกทั้งยังมีหนูจำนวนมากอาศัยอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก จนเกิดเสียงวิจารณ์ เพราะกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ พร้อมกับเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวงข้องเร่งแก้ไขโดยด่วน
ต่อมาผู้ใช้ทวิตเตอร์ @watcharate ได้โพสต์ภาพตู้ชุมสายโทรศัพท์ที่ถูกทาสีใหม่ มีกุญแจล๊อก พร้อมข้อความระบุว่า "จากข่าวฝรั่งแชร์คลิปรังหนูในตู้สายสื่อสาร แยกอโศก ล่าสุด กทม. ทำความสะอาดและทาสีตู้ใหม่เอี่ยม ถ้าไม่เป็นข่าวก็ยังคงปล่อยตู้สกปรกเป็นรังหนูต่อไปเด้อออออ ปล. สียังแห้งไม่ดีเลย"
ด้าน บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) หน่วยงานเจ้าของตู้สายสื่อสารดังกล่าว ระบุว่า ตู้ดังกล่าวเป็นตู้เก่าที่เลิกใช้งานแล้ว เพราะปัจจุบันได้เปลี่ยนจากสายสื่อสารที่เป็นทองแดง มาใช้ไฟเบอร์ออฟติค และอยู่ในขั้นตอนการรื้อถอน และปรับปรุงพื้นที่ให้อยู่ในสภาพเดิม ซึ่งต้องขออนุญาตทาง กทม. เพื่อดำเนินการ คาดว่าภายใน 30 วันจะสามารถรื้อถอนได้แล้วเสร็จ ทั้งนี้บริเวณสี่แยกอโศก จะมีตู้สายสื่อสารเก่าที่รอการรื้อถอนอยู่ประมาณ 4 ตู้ อย่างไรก็ตาม กสท. ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบ ดูแลความสะอาด และไล่รื้อหนูที่เข้ามาทำรัง เพื่อไม่ให้หนูเข้าไปในท่อร้อยสายจนทำให้เกิดความเสียหายบานปลายแล้ว
ข่าวที่ 3 : ผบ.ตร.เผยสื่อเสนอข่าวจนคนร้ายชิงทอง หนีไปชายแดนแล้ว
เมื่อวันที่ 15 ม.ค. วันที่ 6 ของการติดตามตัวคนร้ายชิงทอง จากร้านทองออโร่รา ภายในห้างโรบินสัน อ.เมือง จ.ลพบุรี มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 4 คน โดยคนร้ายหลบหนีหลังจากก่อเหตุ เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ที่ผ่านมา
โดยในเวลา 20.00 น. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่เดินทางมาที่ จ.ลพบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้าการทำงาน ได้ให้สัมภาษณ์ว่า คดีมีความคืบหน้าไปในแต่ละวัน โดยมีหลายจุดที่ต้องไปพิสูจน์ทราบ ส่วนการลงพื้นที่หลายจุดในช่วงเช้าได้หลักฐานบางส่วน บางจุดก็พบ บางจุดก็ไม่พบ ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนผู้ต้องสงสัย เชื่อว่าไม่อยู่ในพื้นที่แล้วและไปอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว ชุดสืบก็ยังติดตามไป “แต่ที่ผู้ต้องสงสัยเคลื่อนจุดบ่อยๆ ก็เพราะผู้สื่อข่าวให้ข่าวทุกวัน เป็นผม ผมก็ไม่อยู่หรอกครับ ผมไปก่อนแล้ว ตรงนี้เป็นจุดอ่อน… ผมเชื่อว่าไปด้วยตัวเอง ขณะนี้น่าจะอยู่แถวชายแดนแล้วล่ะ รอฟังข่าวอีกวันสองวัน ผมเชื่อว่าเขาก็ไปแล้ว ถ้ายังลงข่าวกันแบบนี้นะจริงๆ ”
เมื่อถามว่า จะมีการปรับการทำงานอย่างไรหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ตอบว่า ตำรวจทำงานหนักไม่ได้หลับได้นอน ไม่ได้ตำหนิแต่ขอปรับส่วนผู้สื่อข่าวดีกว่า คดีนี้เป็นคดีที่ท้าทาย ต้องทำแข่งกับเวลา แต่ออกข่าวทีไรเป้าขยับทุกทีเลย นี่ขยับไปถึงนั่นแล้ว (ชายแดน) อย่างที่บอกไป สำหรับกล้องวงจรปิดที่ดูกันเนื่องจากเป็นกลางคืนจึงตรวจสอบลำบาก รับว่ามีอุปสรรคการทำงานและกดดันหลายด้าน ขณะให้สัมภาษณ์เชื่อว่าคนร้ายก็ฟังอยู่ ส่วนกรณีตำรวจชุดสืบที่โพสต์เฟซบุ๊กเองก็ได้คาดโทษแล้ว เตรียมจะขังด้วยซ้ำ เรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือทุกส่วนทั้งตำรวจ ทั้งผู้สื่อข่าว
ขอขอบคุณรูปภาพและคลิปจาก ข่าวช่องวัน, Workpoint news
