ข่าว 1 : เจอทองของกลางแล้ว หลังผอ.กอล์ฟ หลอกให้งมในแม่น้ำ
สำหรับเบื้องหลังการจับกุมครั้งนี้มีรายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุทาง พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม ได้สั่งการให้นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการกองปราบฯ ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนแกะรอยผู้ต้องหารายนี้ ได้รับแจ้งเบาะแสจากพลเมืองดีว่าคนร้ายที่น่าจะก่อเหตุดังกล่าวน่าจะเป็น นายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือผอ.กอล์ฟ อายุ 39 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนโพธิ์ชัยสิงห์บุรี เมื่อตรวจสอบก็พบว่ามีหลักฐานหลายอย่างโดยเฉพาะอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุเกี่ยวพันกับ นายประสิทธิชัย พร้อมกับหลักฐานอื่นๆ เชื่อมโยงว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายจับจากศาลอาญา กระทั่งศาลออกหมายจับให้เมื่อค่ำวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา
เมื่อทราบตัวผู้ก่อเหตุแน่ชัดประกอบกับศาลออกหมายจับแล้ว พล.ต.ต.จิรภพ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ชุดปฏิบัติการพิเศษ “หนุมาน” กองปราบฯ ตามแกะรอยจนทราบที่กบดานของผู้ต้องหารายนี้ จนทราบว่ามีบ้านพักอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี และจะมีกำหนดการขับรถเดินทางไปสอนหนังสือที่โรงเรียนโพธิ์ชัยสิงห์บุรี จ.สิงห์บุรี ในช่วงเช้าของวันที่ 22 ม.ค. หน่วยหนุมานจึงจัดกำลังพร้อมยุทโธปกรณ์ครบมือเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งเห็นนายประสิทธิชัย กำลังขับรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิ้ลยู รุ่นซีรีย์ 5 สีดำ หมายเลขทะเบียน 7กณ493 กทม. จึงได้ขับรถสะกดรอยตามนายประสิทธิชัย ไปจนถึงบริเวณทางหลวงสาย 311 ต.ท่าวุ้ง อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี จึงแสดงตัวพร้อมอาวุธหนักครบมือบุกจู่โจมชาร์จจับกุม โดยระระหว่างที่เข้าจับกุมนั้นนายประสิทธิชัย ไม่มีท่าทีขัดขืนหรือต่อสู้เจ้าหน้าที่เพราะตั้งตัวไม่ติด ทั้งนี้จากการตรวจค้นภายในรถไม่พบอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ แต่พบกระสุนปืนขนาด 9 มม. ซึ่งเป็นขนาดเดียวกันกับที่ก่อเหตุ อยู่ภายในรถจำนวนหลายนัด จึงได้ทำการยึดไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจึงควบคุมตัวไปยังสถานีตำรวจท่องเที่ยวลพบุรีเพื่อสอบสวน
จากการสอบสวน นายประสิทธิชัย ให้การรับสารภาพว่าตนเองเป็นคนก่อเหตุแต่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้ตนยังรู้ตัวดีว่าหลังก่อเหตุจะถูกตำรวจตามจับกุมตัวได้อยู่แล้ว ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุนั้นเป็นปืนยี่ห้อ CZ รุ่น SP 01 ซึ่งเป็นปืนของพ่อที่เป็นอดีตตำรวจ หลังจากก่อเหตุเสร็จก็นำไปคืนพ่อเมื่อวันที่ 10 ม.ค. ส่วนรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฟีโน่ สีแดง รุ่นปี 2008 เป็นรถจักรยานยนต์ของพ่อตาซึ่งตนเองก็ยืมมาเพื่อใช้ในการก่อเหตุด้วยเช่นกัน และขณะนี้รถคันดังกล่าวตนได้นำไปคืนให้กับพ่อตาแล้ว
สำหรับเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันก่อเหตุได้นำไปทิ้งไว้ที่ป่าหญ้าข้างทางใกล้กับซอยโยธาธิการลพบุรี ต.กกโก อ.เมือง จ.ลพบุรี จึงได้นำพาไปชี้จุดดังกล่าว ก่อนจะพบเจอเสื้อผ้าของกลางอยู่จริง ประกอบด้วย เสื้อและกางเกง ขณะเดียวกันทางด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำลงพื้นที่ เพื่องมหาทองคำของกลางที่บริเวณแม่น้ำใต้สะพานบางระจัน ต.บางมัน อ.เมือง จ.สิงห์บุรี เนื่องจากนายประสิทธิชัย อ้างว่า หลังจากชิงทองแล้วได้นำทองดังกล่าวมาโยนทิ้งน้ำที่บริเวณดังกล่าว แต่สุดท้ายงมเท่าไหร่ก็ยังไม่พบ
จนกระทั่งช่วงกลางดึกที่ผ่านมา หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นที่บ้านพ่อแม่ของนายประสิทธิชัย ก็ได้พบทองคำของกลางโดยซุกซ่อนอยู่ใต้หลังคาโรงรถ ซึ่งเป็นที่เดียวกับกับที่พบปืน
ข่าวที่ 2 : ผอ.กอล์ฟ เผย แรงจูงใจคือปัญหาการเงิน ตร.ลั่น! DNAเหงื่อ แค่ข่าวลือ
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะ ได้จัดแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาชิงทอง ในห้างโรบินสัน จังหวัด ลพบุรี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ต่อสายโฟนอินทางโทรศัพท์กับนายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือ ผอ.กอล์ฟ ผู้ต้องหาชิงทองลพบุรี เนื่องจากตำรวจไม่ได้นำตัวมาแถลงข่าวภายในงาน
นายประสิทธิชัย เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำไปเพราะมีปัญหาส่วนตัวเรื่องเงิน สาเหตุที่ยิงคนอื่นเพราะต้องการเปิดทางหนี ให้กลัว โดยแผนการครั้งนี้คิดล่วงหน้า 2-3 วัน และยังบอกอีกว่า ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับพนักงานในร้านทอง ตนหันปลายกระบอกปืนไปที่พนักงาน และถุงมือเข้าไปพันกับไกปืน กระสุนก็เลยออกไปอีก 2 นัด ใส่พนักงานขายทอง ส่วน ‘น้องไทตัล’ เด็กชายวัย 2 ขวบ ตนไม่ได้ตั้งใจยิง และไม่เห็น คาดว่ากระสุนแฉลบช่วง ยิง รปภ.เพื่อเปิดทาง ส่วนตัวรู้สึกสำนึกผิด และเสียใจกับการกระทำทุกครั้งที่เห็นข่าว หลังเกิดเหตุพยายามทำตัวเป็นปกติ ไม่ได้คิดหนี พร้อมฝากถึง ผู้ตายและผู้บาดเจ็บ อยากขอโทษ และเสียใจ กับครอบครัวของผู้ตายทุกคน
นายประสิทธิชัย บอกอีกว่า ท่อเก็บเสียงสั่งมาจากรุ่นน้องในอินเทอร์เน็ต สาเหตุที่ใช้ในการยิง เพื่อลดเสียงไม่ให้ผู้คนตื่นตระหนก โดยหลังก่อเหตุ คิดจะมอบตัว แต่ไม่ได้ปรึกษากับใครเลย ซึ่งเดิมทีตั้งใจไว้ว่าวันที่ 24 นี้จะมอบตัว เพราะมีภารกิจที่จะต้องทำให้นักเรียนที่โรงเรียนก่อน และสาเหตุที่ก่อเหตุในครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการถูกตำรวจวิสามัญ ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังขาดของกลาง 'ลำกล้อง-ท่อเก็บเสียง' โดยผู้ต้องหาอ้างว่าโยนทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนทองได้มาครบแล้ว 32 เส้น เบื้องต้นแจ้ง 3 ข้อหา ในประเด็น 1.ฆ่า 2.ชิงทรัพย์ 3.อาวุธปืน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพทั้งหมด ส่วนการแกะดีเอ็นเอจากเหงื่อนั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด
ข่าวที่ 3 : แพทย์เตือน! วัยรุ่นป่วยโรคติดต่อจากการ “จูบ”
กรณีมีผู้ใช้เฟสบุ๊ก Arak Wongworachat ได้โพสต์เฟสบุ๊กเตือนภัยเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากการจูบว่า มีผู้ป่วยชายอายุ 15 ปี ป่วยมาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลพบว่าเป็นโรคโมโนนิวคลิโอซิส เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้เป็นประจำ สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อในช่องปากสามารถติดต่อกันได้ผ่านการจูบ โดย 7 วันก่อนหน้า เด็กชายรายดังกล่าวมีอาการเป็นไข้ ปวดหัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ และเบื่ออาหาร เหงื่ออกตอนกลางคืน คล้ายเป็นหวัด ซื้อยาทานไม่หาย จนถึงขั้นต่อมทอมซิลอักเสบ หลังจากนั้นมีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย
โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งสามารถแพร่กระจายได้ทางน้ำลาย การไอ และจาม ดังนั้นสามารถติดต่อกันได้หลายทางเช่น การจูบ รับประทานอาหารโดยไม่ใช้ช้อนกลาง หรือแม้กระทั่งดื่มน้ำจากแก้วเดียวกัน วิธีป้องกันคือหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำลายของผู้อื่นด้วยประการทั้งปวง หากมีอาการคล้ายดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์
ข่าวที่ 4 : ผู้ว่าฯโคราช ให้รางวัลนำจับ 5,000 หากแจ้งเบาะแสเผาพื้นที่เกษตร
นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวถึงสถานการณ์ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ว่า ขณะนี้หลายพื้นที่ยังมีค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน อยู่ที่ 50-60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งทางจังหวัดได้พยายามรณรงค์ลดค่าฝุ่นละอองกันอย่างจริงจัง โดยสาเหตุที่ทำให้ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินกว่ามาตรฐานกำหนด มี 2 เรื่องหลัก ได้แก่
1.เรื่องการเผาพื้นที่การเกษตรและการเผาป่า ซึ่งได้มีการเข้มงวดอย่างจริงจัง ทั้งติดตามจับกุมผู้ที่ทำการเผาพื้นที่การเกษตรเพื่อเป็นการป้องปราม
2. เรื่องการจราจรในเขตพื้นที่เมือง ซึ่งได้มีการเข้มงวดการตรวจวัดควันดำ เพื่อจับกุมรถที่มีควันดำเกินกว่ากฎหมายกำหนด ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา และจากรายงานของสำนักงานขนส่งจังหวัดนครราชสีมา สามารถตรวจจับรถที่มีควันดำเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ได้ 120 คัน ซึ่งได้มีการสั่งระงับใช้ เพื่อให้ดำเนินการปรับปรุงและแก้ไขแล้ว
นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งรางวัลนำจับรายละ 5,000 บาท สำหรับประชาชนที่สามารถแจ้งเบาะแสในกรณีที่พบเห็นหรือรู้เบาะแสผู้ที่กระทำการการเผาป่า หรือเผาพื้นที่ทางการเกษตร จนเกิดมลพิษทางอากาศ และนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดีได้
ขอขอบคุณรูปภาพและคลิปจาก เพจกองปราบปราม, เพจชมรมนักข่าวกองปราบปราม, เพจโปลิศไทยแลนด์,
ข่าวช่องวัน, workpoint news, เพจที่นี่เขาใหญ่ และ Facebook Arak Wongworachat
