ข่าวที่ 1 : บุกทลาย “แก๊งอุ้มบุญข้ามชาติ” พบสาวรับจ้างท้อง-หลังคลอดส่งออกชายแดน
เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 นำกำลังเข้าตรวจค้นภายในบ้านหลังหนึ่ง ย่านถนนนาคนิวาส 37 เพื่อติดตามตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ สัญชาติจีน ที่สืบสวนพบว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับการติดต่อให้หญิงไทยตั้งครรภ์และส่งเด็กไปขายยังประเทศจีน จากนั้นได้เข้าตรวจสอบบ้านอีกหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างกัน พบหญิงไทยอีก 7 คน บางคนกำลังตั้งครรภ์ และพบทารกเพศชาย อายุประมาณ 20 วัน อยู่บนห้องชั้น 2 โดยมีหญิงอีกคนที่ไม่ใช่แม่ ที่อ้างว่าถูกจ้างให้มาเลี้ยงเด็กเดือนละ 14,000 บาท และได้รับการติดต่อจากเพื่อนที่ลาออกจากงานนี้ไปแล้ว
ภายในบ้านยังพบตู้อบเด็กทารกอยู่ด้วย ซึ่งตำรวจคาดว่าจะไว้ใช้อบเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด และที่คลอดในไทย เพราะตามปกติแล้ว จะส่งหญิงที่ตั้งครรภ์อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน ไปที่จีนเพื่อคลอดที่จีน แต่ในขณะนี้ยังมีการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ทำให้การเดินทางลำบาก บางคนถึงกำหนดคลอดจึงต้องคลอดในไทย
ขณะที่ พลตำรวจตรีวรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ กล่าวว่า สำหรับกลุ่มนายทุน เมื่อได้จำนวนหญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์แล้ว ก็จะส่งไปทำการผสมเชื้อหรือฝังตัวอ่อนที่ สปป.ลาว จากนั้นจะเข้ามารออายุครรภ์ถึงกำหนดคลอด จึงส่งต่อไปที่จีน ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเด็กที่ถูกส่งออกไปถูกนำไปทำอะไรบ้าง
ส่วนอีกจุดหนึ่งตำรวจเข้าตรวจค้นย่านทาวน์อินทาวน์ พบผู้ต้องหาหญิงตามหมายจับ สัญชาติจีน ที่เปิดเป็นสถานที่รับปรึกษาผู้มีบุตรยาก และก็พบชายหญิงชาวจีน 8 คู่ รวม 16 คน พักอยู่ในห้องพักที่เปิดไว้ให้พักสำหรับผู้ที่มาฝังตัวอ่อน เพราะต้องพักอย่างน้อย 10 วัน และยังมีหญิงสัญชาติเมียนมาอีก 7 คน เป็นแม่บ้านดูแลสถานที่นี้ การสืบสวนของตำรวจก็พบว่าผู้หญิงตามหมายจับมีความเกี่ยวพันกับชายคนแรกที่จับได้ที่บ้านพัก และกำลังควบคุมตัวมาสอบสวนถึงพฤติการณ์ทั้งหมด
เบื้องต้นผู้ต้องหาถูกแจ้งข้อหาสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า และความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ โดยปฏิบัติการในวันนี้ ตำรวจเข้าตรวจค้นเป้าหมายรวม 10 จุด ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล และถือว่าเป็นการตรวจพบกลุ่มขบวนการค้าเด็กทารกรายใหญ่ในไทยครั้งแรก ซึ่งขณะนี้กำลังขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ข่าวที่ 2 : ไนจีเรียพบโรคระบาดใหม่ ถ้าติดเชื้อตายภายใน 48 ชั่วโมง
เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 63 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สาธารณรัฐไนจีเรีย พบโรคใหม่ในรัฐเบนิว ที่ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. 2563 โดยมีอาการป่วยอาเจียน อาการปวดบวม และท้องร่วง บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตภายใน 48 ชั่วโมง
จากการตรวจสอบชี้ชัดว่าโรคนี้ไม่ใช่ไข้เลือดออกลาสซา หรือไข้ท้องถิ่นไนจีเรีย หรือ อีโบลา ที่เคยระบาดในทวีปแอฟฟริกา และที่สำคัญไม่ใกล้เคียงกับ ไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 ที่กำลังระบาดอย่างหนักในประเทศจีน
ขณะที่หน่วยควบคุมโรคไนจีเรีย หรือ NCDC ได้ประกาศมาตราการฉุกเฉินและปฎิบัติการควบคุมพื้นที่ระบาดของโรคใหม่นี้อย่างเคร่งครัดเพื่อจำกัดวงจรการแพร่เชื้อ ส่วนสาเหตุของโรคต้องสงสัยว่าเป็นสารเคมีที่ใช้ในการประมงนั้น ยังไม่สามารถสรุปได้ในเวลานี้ ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อกว่า 100 คนและเสียชีวิตแล้ว 15 คน อาการมีเพียงป่วย อาเจียน ปอดบวมและท้องร่วงอย่างรุนแรง
ข่าวที่ 3 : หนุ่มบล็อกเกอร์ชาวรัสเซีย แกล้งป่วยโคโรนา-ชักกลางรถไฟ
ศาลเขตเชริโยมุชคินสกี กรุงมอสโก รัสเซีย มีคำสั่งฝากขังนายคาโรมาตุลโล ดจาโบรอฟ ก่อนการพิจารณาคดีจนถึงวันที่ 8 มี.ค. หลังเล่นพิเรนทร์แกล้งติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่มีต้นตอจากจีนและระบาดทั่วโลก จนยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 1,011 ราย และผู้ป่วยทั่วโลกมีอย่างน้อย 42,763 คน ในจำนวนนี้มีผู้ป่วย 2 คน ในรัสเซีย
นายดจาโบรอฟ หนุ่มบล็อกเกอร์ ถูกตั้งข้อหาก่อความวุ่นวายต่อสาธารณะ ซึ่งมีโทษจำคุกถึง 5 ปี หลังตำรวจตรวจสอบคลิปวิดีโอในโซเชี่ยลมีเดีย ซึ่งนายดจาโบรอฟสวมหน้ากากอนามัย อยู่ในขบวนรถไฟใต้ดิน เส้นทางสถานี โปเลจาเยฟสกายา - ถนนปี 1905 จู่ๆ เจ้าตัวล้มลงไปกับพื้นและมีอาการชักกระตุก จากนั้นแก๊งผู้สมคบคิดเล่นพิเรนทร์ตะโกนว่า "เพื่อนพวกผมติดไวรัสโคโรนาอันตราย" จนผู้โดยสารตื่นตกใจแห่วิ่งหนีออกจากขบวนรถไฟ
ต่อมา ตำรวจกรุงมอสโกจับกุมผู้สมคบคิดเล่นพิเรนทร์อีก 2 คน ระหว่างการตรวจค้นที่พัก ตำรวจยึดคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือผู้ต้องสงสัยทั้งสอง ซึ่งเป็นคนว่างงานทั้งคู่ ถูกตั้งข้อหาก่อความวุ่นวายในสังคม ขณะนี้ถูกลงโทษโดยการจำกัดบริเวณ โดยตำรวจระบุว่า กำลังตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องอีก 5 คนด้วย
ขอขอบคุณคลิปและรูปภาพจาก ข่าวช่องวัน, เพจอีจัน และ Facebook Nigeria Centre for Disease Control
