ข่าวที่ 1 : “ช่อ” เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาฯ ซักฟอกรัฐบาล “ประยุทธ์” อ้างอาจเอี่ยวคดี 1MDB
เมื่อวันที่ 23 ก.พ.63 นางสาวพรรณิการ์ วานิช อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภา ครั้งแรก ที่ศูนย์ประสานงานพรรคอนาคตใหม่ฝั่งธนบุรี หลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบและตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเป็นการอภิปรายก่อนที่ในวันพรุ่งนี้สภาผู้แทนราษฎรจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
โดยเนื้อหาของ การอภิปราย มีการหยิบยกกรณี การฉ้อโกงเงินคดีอื้อฉาวทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก 1MDB ผ่านกองทุนแห่งรัฐ ที่ก่อตั้งโดยนาย นาจิบ ราซัค ในปี 2008 แต่ขาดทุนอย่างต่อเนื่องจนมีหนี้สะสม กว่า 3.7 แสนล้านบาทภายใน 6 ปี และในปี 2558 ได้ถูกเปิดโปรงข้อมูลหลายแสนล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นภาษีของประชาชนชาวมาเลเซียรั่วไหลเข้าสู่กระเป๋าของผู้มีอิทธิพลทั่วโลก และฟอกเงินเป็นทรัพย์สินต่างๆ และเกี่ยวข้องกับการเป็นพันธมิตรมืดของไทย-มาเลเซีย ซึ่งในขณะนั้นมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้นำรัฐบาลหลังการทำรัฐประหารปี2557
โดยนางสาวพรรณิการ์ อ้างว่า หลักฐานและข้อมูลที่พบนั้น เป็นต้นเหตุทำให้สมควรเชื่อได้ว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ อาจกระทำการ 4 ข้อคือ 1. ปกปิดข้อเท็จจริงในคดีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากการรับรู้ของเพื่อนบ้านชาวมาเลเซีย และจากการรับรู้ของประชาชนคนไทย จากการรับรู้ของประชาคมโลก 2. บิดเบือนกระบวนการยุติธรรมนำคนบริสุทธิ์เข้าคุก และปล่อยให้อาชญากรข้ามชาติลอยนวล 3. ให้ที่พักพิงหลบซ่อนตัวแก้ผู้ที่มีหมายจับในต่างประเทศ และ4. บ่อนทำลายความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรของประเทศไทย และทั้งหมดนี้นำมาสู่คำถามที่ว่า หรือนี้จะเป็นการใช้อำนาจในทางมิชอบ เอาจุดยืนทางการเมืองระหว่างประเทศของไทยไทย ไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว หรือนี่จะเป็นการกระทำที่น่าละอาย ไม่ใช่เฉพาะในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่ในฐานะคนไทยที่ชอบบอกว่าตัวเองรักชาติ แต่กลับมาพฤติกรรมที่ส่อไปในทางให้เชื่อได้ว่าโกงชาติ
นอกจากนี้ยังมีกรณีนายโจ โล คนสนิทของนายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่มีการออกหมายแดงของตำรวจสากลเพื่อติดตามตัว แต่ไม่เคยมีหลักฐานปรากฏว่า รัฐบาลไทยได้แจ้งต่อประเทศใดว่า โจ โล เข้า-ออกเมืองไทยและไม่ได้ปฏิเสธการขอเข้าประเทศของบุคคลที่มีหมายแดง ทั้งหมดทำให้เกิดข้อสงสัยได้ว่า รัฐบาลไทยมีส่วนช่วยในการปกปิดคดีอื้อฉาว พร้อมขัดขวางกระบวนการยุติธรรมของต่างประเทศหรือไม่ ทั้งนี้ตนยืนยันหลักฐานทั้งหมด ได้รับการรับรองจากศาลสวิตเซอร์แลนด์แล้วว่าเป็นข้อเท็จจริง
ข่าวที่ 2 : ผบ.ตร. รวบตัว “บรรยิน” หลังดักอุ้มพี่ชายผู้พิพากษา
จากกรณีที่ชุดสืบสวนของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมกำลัง เข้าจับกุม พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 56 ปี อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ หลายสมัย พร้อมพวกในคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา
นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า เวลาประมาณ 17.30 น. วันที่ 4 ก.พ. ได้มีคนร้ายที่ปรากฎในหลักฐาน 3-4 คน ร่วมกันอุ้มลักพาตัวนายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ อายุ 67 ปี พี่ชาย น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญากรุงเทพใต้ และเป็นเจ้าของสำนวนคดีโอนหุ้น นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หายขึ้นรถคันหนึ่ง แล้วขับออกไปจากบริเวณหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้
จนทางชุดสืบสวนทราบว่ามีผู้เกี่ยวข้องและก่อเหตุหลายคน โดยภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า พ.ต.ท.บรรยิน ปลอมตัวใส่เครื่องแบบตำรวจ พร้อมพวก 4 คน ไปดักอุ้มพี่ชายของผู้พิพากษาหน้าศาล มีการมาดักรอหน้าศาลเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง ก่อนจะลงมือก่อเหตุ สำหรับคดีที่เกี่ยวพันอยู่เหตุการณ์ลักพาตัวครั้งนี้ 2 คดี คือคดีฆาตกรรมนายชูวงษ์ เเละการโอนหุ้น 300 ล้านบาท เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานทีมสืบสวนได้ติดตามสถานที่กบดานคนร้าย จนเมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา จึงได้ขออนุญาตศาลอาญาออกหมายจับจนสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ 3 คน และกำลังตามจับบางส่วนที่หลบหนีอยู่ ส่วนเรื่องจำนวนคนร้ายที่ก่อเหตุนั้น ถ้าสืบสวนไปเกี่ยวพันถึงใคร ตำรวจจะขอหมายจับเพื่อจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป
โดยก่อนจะมีคดีลักพาตัวเกิดขึ้นนั้น ปรากฏว่ามีกลุ่มคนร้ายพยายามขับรถพุ่งชน น.ส.พนิดา ขณะเดินทางกลับบ้าน ทำให้ผู้พิพากษาอาวุโสรู้สึกไม่ปลอดภัย ขอให้พี่ชายมารับกลับบ้านในทุกๆ วัน ปรากฏว่าคนร้ายสบโอกาสเห็นว่าบุคคลใกล้ตัวสามารถต่อรองได้ จึงก่อเหตุลักพาตัวไปเพื่อเรียกต่อรองผลทางคดี และเมื่อรู้ว่าการต่อรองไม่สำเร็จ จึงลงมือสังหารตัวประกัน โดยมีการเผาศพก่อนนำชิ้นส่วนใส่ถุงทิ้งแม่น้ำเพื่ออำพรางคดี
ส่วนสาเหตุที่อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเพื่อให้ยกฟ้องคดีที่ พ.ต.ท. บรรยิน เป็นจำเลยในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 265,268 จากกรณีการโอนหุ้นนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด ร่วม 300 ล้านบาท ว่าคดีนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์-จำเลย ทั้ง 2 ฝ่าย เสร็จเรียบร้อยแล้ว และนัดฟังคำพิพากษา วันที่ 20 มีนาคม เวลา 09.00 น.
ข่าวที่ 3 : “อนุทิน” คาดอาจประกาศ “โควิด-19” ระบาดระยะ 3
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการยกระดับเชื้อไวรัสโควิด-19 จะมีความรุนแรงจนอาจเข้าสู่ระยะที่ 3 ของการระบาดหรือไม่
นายอนุทิน กล่าวว่า ก็ต้องบวกหนึ่งไว้ก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงระดับ 3 แต่เราต้องป้องกันไว้ก่อน เพราะกลัวว่าจะมีเหมือนกรณีที่ประเทศเกาหลีใต้เผชิญปัญหาผู้ที่ติดเชื้อคนที่ 31 แต่ไม่ยอมเข้ารับการรักษาจนทำให้เชื้อแพร่กระจายโดยเร็ว แต่ถ้าเราประกาศว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่อและอันตรายจะปฏิเสธการตรวจรักษาไม่ได้ ทั้งนี้ ต้องฟังคณะกรรมการและคณะแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากประกาศยกระดับสู่ระยะที่ 3 จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราต้องดูระบบทางการแพทย์ก่อน ขณะนี้ทุกคนรับรู้ได้ว่า โรคดังกล่าวติดต่อโดยการสัมผัส โดยเฉพาะบุคคลที่มาจากประเทศจีน ซึ่งขณะนี้เรายังรู้ที่มาของโรคจึงสามารถควบคุมได้ ที่มีคำแนะนำว่าใครที่กลับมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงจะต้องกักตัว 14 วัน เพราะต้องการรู้แหล่งที่มาของโรค บางครั้งเราติดเชื้อแล้วไม่แสดงอาการก็มีโอกาสแพร่กระจายไปยังคนอื่น ยืนยันว่าข้อเสนอดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งห้าม แต่เป็นการขอความร่วมมือ อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนรับข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขที่แถลงข่าวทุกวัน เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่แท้จริง”
ข่าวที่ 4 : ไฟไหม้รถหรูวอดทั้งคัน คู่รักรอดหวุดหวิด
ศูนย์ควบคุมการจราจรทางด่วนบางพลี สุขสวัสดิ์ ได้รับแจ้งจากสายด่วนว่ามีเหตุไฟไหม้รถยนต์ บริเวณกลางสะพานกาญจนาภิเษกจากพระราม 2 มุ่งหน้าบางนา จึงได้ประสานรถกู้ภัยทางด่วนและรถดับเพลิงเทศบาลเมืองลัดหลวง เข้าช่วยเหลือที่เกิดเหตุพบรถนั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ Proton สีเหลือง หมายเลขทะเบียน ภอ-9988 กทม. ไฟกำลังลุกไหม้ด้านหลังรถจนถึง ห้องโดยสาร เจ้าหน้าที่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลเมืองลัดหลวงใช้น้ำดับ ใช้เวลาในการดับไฟในครั้งนี้ประมาณ 30 นาที เพลิงไหม้จึงสงบ
เบื้องต้นทราบชื่อเจ้าของรถคันดังกล่าว คือนายปฏิภาณ แหวนทองคำ อายุ 36 ปี ประกอบอาชีพกิจการส่งวัสดุก่อสร้างย่านบางแค และนางสาวศันสนีย์ จงวิไลพร แฟนสาว อยู่ในที่เกิดเหตุ โดยนายปฏิภาณเล่าว่า ขณะขับรถคันดังกล่าวพร้อมแฟนสาวออกมาจากบ้านพักย่านบางแค เพื่อมุ่งหน้าไปจังหวัดชลบุรี โดยใช้ทางด่วนสุขสวัสดิ์บางพลี พอมาถึงจุดเกิดเหตุบริเวณกลางสะพานกาญจนาภิเษก มีกลุ่มควันขึ้นบริเวณท้ายรถซึ่งเป็นห้องเครื่องยนต์ จากนั้นจึงได้ขับรถจอดข้างทางและลงไปดู พอเปิดฝากระโปรงห้องเครื่องพบว่าไฟกำลังลุกไหม้ที่เครื่องยนต์ ตนพยายามใช้น้ำดับแต่ไม่สามารถควบคุมได้จึงให้แฟนสาววิ่งหลบหนีไปที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามตำรวจเตรียมตรวจสอบหาสาเหตุในการเกิดเหตุในครั้งนี้ต่อไป
ขอขอบคุณรูปภาพและคลิปจาก อนาคตใหม่ - Future Forward, MThai, อีจัน,
คมชัดลึก, เพจอนุทิน ชาญวีรกูล และ ข่าวช่องวัน