จากกรณี ทนายอานนท์ นำภา และภานุพงศ์ จาดนอก สองนักกิจกรรมทางการเมือง ถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวตามหมายจับชุมนุมของเยาชนปลดแอก ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 63 ที่ผ่านมา
เมื่อคืนวันที่ 7 ส.ค. 63 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รายการความคืบหน้าของสองแกนนำที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรงบตัวไปว่า พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ ได้ยื่นคำร้องเพื่อฝากขังสองผู้ต้องหาเป็นระยะเวลา 12 วัน ซึ่งมีการอ้างว่าเรื่องการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบพยานเพิ่มอีก 6 ปาก และรอผลตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา ทั้งยังขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองคน ระบุเหตุผลว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์จะไปชุมนุมก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
ในขณะที่ทั้งสองผู้ต้องหานั้นก็ได้ยื่นคำร้องเพื่อคัดค้านการฝากขัง โดยมีข้อยืนยันว่า ไม่ได้มีพฤติการณ์ที่จะหลบนี้ อีกทั้งยังมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และคดีไม่มีความจำเป็นต้องฝากขังผู้ต้องหาเอาไว้ ทั้งยังยืนยันว่าคดีนี้เกี่ยวเนื่องกับการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ พร้อมกับยื่นคำร้องในการประกันตัวเตรียมไว้หากศาลอนุญาตให้ฝากขัง อานนท์ นำภา ยังได้แถลงขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวน โดยเห็นว่ากระบวนการฝากขังเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เกิดขึ้นนอกเวลาราชการ คือ
หลังเวลา 16.00 น. ทั้งยังเห็นว่าไม่ควรนำกระบวนการยุติธรรมมาใช้จำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
ต่อมาเวลา 20.35 น. อานนท์และภาณุพงศ์ได้ตัดสินใจยื่นขอถอนคำร้องขอประกันตัว ทำให้หากศาลอนุญาตให้ฝากขัง ทั้งสองคนจะถูกนำตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทั้งสองคนยังเขียนข้อความแสดงจุดยืนในการไม่ขอประกัน
เวลาประมาณ 21.30 น. รองอธิบดีศาลอาญาได้มาเป็นผู้ไต่สวนคำร้องขอฝากขังด้วยตนเอง หลังพนักงานสอบสวนให้การตามคำร้องขอฝากขัง ทนายความผู้ต้องหาได้ถามค้านว่า คำร้องขอฝากขังที่อ้างว่ามีเหตุในการฝากขังคือ รอสอบพยานเพิ่มอีก 6 ปาก, รอผลพิมพ์ลายนิ้วมือและประวัติอาชญากรนั้นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา อีกทั้งพนักงานสอบสวนสามารถรวบรวมหลักฐานซึ่งเป็นคลิปการปราศรัยได้อยู่แล้วโดยผู้ต้องหาไม่สามารถยุ่งเหยิงพยานหลักฐานดังกล่าวได้ และการออกหมายจับโดยไม่มีการออกหมายเรียกก่อนทั้งที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในคดีอื่นของ สน.สำราญราษฎร์ ที่ผู้ต้องหาเป็นจำเลยอยู่นั้น ก็มีการออกหมายเรียกก่อน และผู้ต้องหาก็ให้ความร่วมมือตามกระบวนการไม่เคยหลบหนี จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกหมายจับในคดีนี้
พนักงานสอบสวนตอบว่า เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงเกิน 3 ปี จึงสามารถออกหมายจับตามกฎหมายได้อยู่แล้ว
ทนายความถามอีกว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังต่อศาลหลังเวลาราชการ ทราบหรือไม่ว่าศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษายกคำร้องฝากขังแล้ว
ทนายความผู้ต้องหาถามพนักงานสอบสวนว่า เสรีภาพในการชุมนุมได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนสามารถชุมนุมได้ใช่หรือไม่ แต่ศาลแย้งว่า ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นไต่สวนฝากขัง จึงไม่บันทึกให้ แต่ทนายแถลงว่าเป็นประเด็นโดยตรงที่ผู้ต้องหาถูกออกหมายจับและนำตัวมาฝากขังและยืนยันให้ศาลบันทึก
เวลาประมาณ 21.50 น. ศาลอ่านคำสั่ง มีใจความว่า พิเคราะห์แล้วได้ความจากพนักงานสอบสวน ตอบทนายผู้ต้องหาถามค้านได้ความว่า นำตัวผู้ต้องหามาฝากขังหลังเวลา 16.00 น. จึงมีคำสั่งให้คืนคำร้องขอฝากขัง ให้ผู้ร้องรับตัวผู้ต้องหาคืน และยื่นคำร้องขอฝากขังภายใน 48 ชั่วโมงตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม หลังศาลออกจากห้องพิจารณาไปแล้ว อานนท์และภาณุพงศ์ยังนั่งอยู่ในห้องพิจารณา ยืนยันว่าจะไม่ไปสถานีตำรวจ เนื่องจากตำรวจหมดอำนาจควบคุมตัวแล้ว
22.45 น. ตำรวจ, เจ้าหน้าที่ศาล และ รปภ. ตั้งแถวรอเตรียมจะพาตัวอานนท์และภาณุพงศ์ ไป สน.สำราญราษฎร์ ทนายความและประชาชนจึงเข้ายืนขวาง และยืนยันว่าตำรวจไม่มีอำนาจควบคุมตัวแล้ว
23.10 น. ทนายผู้ต้องหาแจ้งว่า รองอธิบดีศาลอาญาลงมาชี้แจงว่าตำรวจยังมีอำนาจในการควบคุมตัวแต่ศาลจะไม่ออกหมายขัง
23.20 น. ตำรวจไม่น้อยกว่า 30 นาย ตั้งแถวเพื่อรอรับตัวทั้งสองไปขังที่สถานีตำรวจ
23.30 น. อานนท์ไม่ยินยอมให้ตำรวจพาไปขังที่สถานีตำรวจ จึงยืนเฉยๆ และกล่าวกับตำรวจว่า "ถ้าคิดว่ามีอำนาจจับก็จับไป" แต่ตำรวจพยายามผายมือเชิญ ไม่จับ ขณะที่ประชาชนตะโกนว่า "ข้าราชการ ต้องรับใช้ ประชาชน"
23.35 น. ตำรวจหิ้วตัวอานนท์และภาณุพงศ์ ขึ้นรถตู้ตำรวจออกจากศาลอาญา ขณะประชาชนตะโกน "หยุดอุ้มประชาชน" โดยยังไม่รู้ว่าพาไปขังที่ใด
23.50 น. ตำรวจควบคุมตัวอานนท์ และภาณุพงศ์ ถึงสน.ห้วยขวาง
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน