ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้กล่าวในที่ประชุมสภาว่า อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญต้องเป็นของประชาชน 40 ปี ผ่านไปจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก ประเทศไทยยังไม่ไปไหน วนเวียนอยู่กับที่ เหมือนม้าหมุน แค่เปลี่ยนจาก “ประชาธิปไตยครึ่งเดียว” ในรุ่นพ่อ กลายเป็น “ประชาธิปไตยสลึงเดียว” ในรุ่นลูก
การประชุมกันที่รัฐสภาแห่งนี้ เป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิการเมืองที่ร้อนระอุจากความไม่ชอบธรรมและความล้มเหลวของ “ระบอบประยุทธ์” หรือจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงชีวิตของพวกเรา หรือจะเป็นกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง (Disruption) อย่างเร็วและแรงในทุกมิติ
หากก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต ไม่มีเวลาไหนมากไปกว่าตอนนี้อีกแล้วในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่เราต้องการระบบการเมืองที่มีประสิทธิภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม และยึดโยงกับประชาชน สะท้อนหลักการอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
ซึ่งนั่นทำให้การอภิปรายญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในวันนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นการอภิปรายที่ประชาชนจับตามองมากที่สุดครั้งหนึ่ง การพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้ย่อมส่งผลต่ออนาคตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน เพราะถ้าการเมืองยังเหมือนเดิม จะเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ขวางอนาคตของประเทศเอาไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลง ไม่ให้พัฒนา สาระสำคัญของการอภิปรายในวันนี้ ก็คือว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นเครื่องมือกลไกการสืบทอดอำนาจของคสช.เท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกที่ยื้อรั้ง ฉุดกระชากลากถูประเทศไทยกลับไปสู่อดีต
รัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายที่ให้อำนาจสว. ที่มาจากการแต่งตั้ง เลือกนายกได้ คือ รัฐธรรมนูญปีไหน?
คำตอบก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายที่ให้อำนาจสว. ที่มาจากการแต่งตั้ง เลือกนายกได้ คือรัฐธรรมนูญปี 2521 ผ่านมาแล้วกว่า 40 ปี ตัวผมเองปีนี้อายุ 40 เกิดปี 2523 ผมเกิดในยุคที่เราเรียกกันว่า “ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ” ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2521 อันเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่มีการใช้กำลังปราบนักศึกษา นำมาสู่การยึดอำนาจของทหาร หลัง 6 ตุลา มีการประกาศ “แผนพัฒนาประชาธิปไตย” 12 ปี โดย 4 ปีแรกให้สภาปฏิรูปที่มาจากการแต่งตั้งเป็นผู้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน แต่สุดท้ายก็เกิดรัฐประหารซ้ำ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ใน ปี 2521
รัฐธรรมนูญ 2521 ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งเลือกนายรัฐมนตรีได้ในช่วง 4 ปีแรก โดยมีพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ แกนนำคณะรัฐประหาร เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ รัฐธรรมนูญ 2521 ไม่ได้กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็นส.ส. เท่ากับเปิดทางให้มีนายกคนนอกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งได้ พอถึงปีที่ผมเกิด ส.ว. ที่ถูกแต่งตั้งมาก็หันไปสนับสนุนพล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกแทน หลังจากนั้นไม่ว่าผมจะอยู่ ป.1 ป.2 ป.3 ป.4 หรือ ป.5 ประเทศไทยก็ยังมีนายกชื่อ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์
ผ่านมา 40 ปี ลูกสาวผมเกิดมาในช่วงหลังรัฐประหาร 2557 มีหัวหน้าคณะรัฐประหารชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนี้ลูกสาวผมอายุ 4 ขวบแล้ว เรายังมีแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปีในรัฐธรรมนูญจากคณะรัฐประหารอยู่อีก เรายังให้ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง เลือกนายกรัฐมนตรี เรายังมีรัฐธรรมนูญที่เปิดช่องให้นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง ปี 2562 ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง ก็เลือกพล.อ ประยุทธ จันท์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นไม่ว่าลูกสาวผมจะอายุ 2 ขวบ 3 ขวบ 4 ขวบ หรือ 5 ขวบ ก็ยังมีนายกชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา
นี่คือความเหมือนที่ไม่บังเอิญของรัฐธรรมนูญปี 2521 กับ 2560 ผ่านไป 40 ปี ก็ยังใช้วิธีเดิมๆ เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือนวัตกรรมทางการเมืองเพื่อการผูกขาดอำนาจแบบใหม่ โดยใช้องค์กรอิสระที่ไม่อิสระจริง ทำลายศัตรูทางการเมือง จนวันนี้องค์กรที่ตั้งมาเพื่อหวังให้เป็นกลไกตรวจสอบการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล กลับใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลเสียเอง
40ปี ผ่านไปจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก ประเทศไทยยังไม่ไปไหน วนเวียนอยู่กับที่ เหมือนม้าหมุน แค่เปลี่ยนจาก “ประชาธิปไตยครึ่งเดียว” ในรุ่นพ่อ กลายเป็น “ประชาธิปไตยสลึงเดียว” ในรุ่นลูก การทวนเข็มนาฬิกาการเมืองไทยแบบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะนายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อ 40 ปีก่อน ท่านก็ทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 2521 สิ่งที่น่าเศร้าใจสำหรับสังคมไทย จึงกลายเป็นว่า สิ่งที่เราพูดคุย ถกเถียงกันในวันนี้ มันไม่ก้าวหน้าไปไหนเลยจาก 30 40 ปีที่แล้ว
รัฐธรรมนูญ 2560 ในแง่หนึ่งจึงไม่ใช่แค่การสืบทอดอำนาจของ คสช. แต่มันคือความพยายามที่จะพาสังคมไทยกลับไปสู่อดีต เพื่อกดทับให้ “อำนาจที่มาจากประชาชน” อยู่ใต้ “อำนาจชั้นฟ้า” ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนตลอดไป ทั้งๆ ที่เราต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันไปไม่รู้เท่าไร นั่นเท่ากับว่า ผู้มีอำนาจในประเทศไทยไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากชีวิตของประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในหลายสิบปีที่ผ่านมา
อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญต้องเป็นของประชาชน
- การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะถอนฟืนออกจากกองไฟนั้น ต้องโอบอุ้มความฝันของคนทุกกลุ่มทุกประเภท ด้วยเหตุนี้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจึงต้องเป็นตัวแทนกลุ่มทางสังคมหรือตัวแทนทางอุดมการณ์ที่หลากหลาย มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ไม่ใช่ให้ สสร. เป็นกลไกในการสืบทอดอำนาจของการสืบทอดอำนาจอีกทีนึง อย่างที่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเปิดให้มี สสร. จากการแต่งตั้งอีก ไม่ว่าจะมาจากรัฐสภาภายใต้ระบอบประยุทธ์ 20 คน จากการเลือกโดยที่ประชุมอธิการบดีภายใต้ระบอบประยุทธ์ 20 คน และมาจากนักเรียนนักศึกษาที่ กกต. ภายใต้ระบอบประยุทธ์คัดสรรมาให้อีก 10 คน เช่นนี้จะทำให้ สสร. ที่ควรจะยึดโยงกับประชาชน กลายเป็นยึดโยงกับระบอบประยุทธ์ ปล้นเจตนารมณ์ของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปโดยสิ้นเชิง
- การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะถอนฟืนออกจากกองไฟนั้น สำคัญคือการออกแบบรัฐธรรมนูญต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย ไม่มีข้อจำกัด ไม่จำกัดความฝันของประชาชนกลุ่มใด ดังนั้นการห้ามแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ จะไม่ช่วยให้ข้อเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อย่างแท้จริง ได้ถูกพูดถึงด้วยเหตุและผลอย่างมีวุฒิภาวะ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยได้อย่างมั่งคง สถาพร
มีคนบางกลุ่มพยายามปลุกปั่นทำให้การเรียกร้องของนักเรียนนักศึกษาและประชาชนกลายเป็น “ปีศาจ” ของสังคมไทย ทั้งที่จริงแล้วความฝันของพวกเขาเป็นสิ่งที่ธรรมดาสามัญมาก พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าระบอบการเมืองที่ “คนเท่ากัน” ทุกคนเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย เป็นนิติรัฐ ใครก็ตามที่ใช้อำนาจสาธารณะย่อมต้องถูกตรวจสอบได้ ใครทำผิดต้องรับผิด พวกเขาฝันถึงสังคมที่จะไม่มีการรัฐประหารอีก อยากเห็นข้าราชการ ตุลาการ และสถาบันพระมหากษัตริย์ร่วมมือกับประชาชนไม่รับรองการรัฐประหารอีก สถาบันที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติต้องปลอดพ้นจากการเมือง จะสวยงามเพียงใด หากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของพวกเรา เริ่มต้นด้วยมาตรา 1 อย่างเรียบง่ายว่า “อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน”
- การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะถอนฟืนออกจากกองไฟนั้น ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขเวลา มีความจริงใจ ไม่ใช่การยื้อเวลา การประวิงเวลาให้ “ระบอบประยุทธ์” อยู่ในอำนาจต่อไป และลำพังเพียงการแก้ไขมาตรา 256 เพื่อตั้ง สสร. คงจะไม่พอที่จะลดอุณหภูมิการเมืองได้ ดังนั้นสำหรับสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เร่งด่วนที่สุด เราต้องพิจารณาใจกลางของปัญหาความขัดแย้งของการเมืองไทย นั่นก็คือ ส.ว.แต่งตั้ง 250 คน ที่มีอำนาจในการเลือกนายกฯ ระบบเลือกตั้งที่ไม่สะท้อนเจตจำนงค์ของประชาชน ทำให้เกิดรัฐบาลอ่อนแอไร้ประสิทธิภาพ องค์กรอิสระที่ถูกครอบงำโดยผู้มีอำนาจปัจจุบัน
การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะถอนฟืนออกจากกองไฟนั้น ต้องถูกกำหนดโดยประชาชนด้วยการเห็นชอบผ่านประชามติ ไม่ใช่การเห็นชอบโดยรัฐสภาภายใต้ “ระบอบประยุทธ์” ตามญัตติของพรรคร่วมรัฐบาล
นอกจากนี้การบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจยับยั้งร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติของประชาชนได้ ก็เป็นประเด็นที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะการเอาพระราชอำนาจมาปะทะกับอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชน อาจกระเทือนต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หยุดกอดอดีต ปล่อยอนาคตให้ลูกหลาน
ประเทศไทยเราเสียเวลากับอดีตมามากเกินไปแล้ว อนาคตของประชาชน คนรุ่นใหม่ ถูก ชนชั้นนำ คนรุ่นเก่า เพียงไม่กี่กลุ่มปล้นไปต่อหน้าต่อตา นั้นคือสาเหตุที่พวกเขาต้องออกมาทวงคืนอนาคตของเขาคืน ตอนนี้ประชาชนหมดศรัทธากับรัฐสภา นี่เป็นโอกาสที่เราจะสร้างศรัทธาให้ประชาชนกลับมาเชื่อมั่นตัวพวกเราอีกครั้ง เราต้องเป็นความหวังให้ประเทศไทย เราต้องหาทางออกให้กับความขัดแย้งความรุนแรง และสร้างอนาคตให้กับพี่น้องประชาชนให้ได้
การแก้รัฐธรรมนูญคือทางออกก็จริง แต่ต้องไม่ใช่การแก้รัฐธรรมนูญแบบขอไปที แก้เพื่อให้ผู้มีอำนาจอยู่รอดเท่านั้น
หากเราเลือกที่จะแก้แบบที่รัฐบาลเสนอ สังคมไทยที่แบ่งขั้วขัดแย้งรุนแรงมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ ความขัดแย้งจะยังทอดยาวออกไป การปะทะทางความคิดอย่างรุนแรงจากกลุ่มคนที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง และกลุ่มคนที่ไม่พร้อมและไม่อยากจะเปลี่ยนแปลง จะถึงทางตัน ไร้ทางออก ดังนั้นหากเราไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ อนาคตอาจจบด้วยการปะทะกันอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากเห็นอีกแล้วในสังคมไทย อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกผม เราหลีกเลี่ยงมันได้ครับ
สุดท้ายนี้ ผมจึงขออ้อนวอนสมาชิกรัฐสภาทุกท่านโดนเฉพาะฝ่ายรัฐบาล และ สมาชิกวุฒิสภา ขอท่านอย่าได้ทำตามคำสั่งของ “ระบอบประยุทธ์” ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องอยู่ฝั่งเดียวกับประชาชน เพื่อนร่วมชาติของท่าน ลูกหลานของท่าน หยุดกอดอดีตเอาไว้เถิดครับ แล้วปล่อยประเทศไทยไปสู่อนาคตเสียที