“เพื่อไทย” เตือน “ประยุทธ์” เช็คแอพเป๋าตังก่อนระบบล่มอีก ชี้ วุ่นคนไม่มีสมาร์ทโฟน ติดต่อธนาคารโอนเข้าบัตรปชช. หวั่น แก้ไม่ตรงจุด ปล่อยประชาชนทนทุกข์เหมือนโปรยทาน คนรับกรรมคือประชาชน โครงการเราชนะ จึงกลายเป็นโครงการที่ทำให้รัฐบาลพ่ายแพ้ เสียทั้งเงินเสียทั้งคะแนนนิยม ที่สำคัญทำให้ประชาชนไม่ปลื้ม รัฐบาลสอบตกทั้งคณะทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ล้มเหลวซ้ำซากของรัฐบาล ซ้ำเติมความลำบากจากสถานการณ์โควิด-19
“ย้อนหลังวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทางธนาคารกรุงไทย เปิดให้ผู้ได้รับสิทธิ์จากมาตรการ “คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน” ได้เข้าไปยืนยันตัวตนก่อนกดรับสิทธิ์ในมาตรการ “เราชนะ” ผ่านแอปพลิเคชั่น “ เป๋าตัง” ช่วงเช้าพบว่า “ระบบล่ม” ทำให้ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใด ๆ ภายในแอปฯ ได้เลย โดยทางธนาคารกรุงไทยเองออกมาแจงว่า มีผู้ยืนยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชั่นเป๋าตังเป็นจำนวนมากทำให้ระบบหน่วง จึงขอปิดระบบการยืนยันตัวตนเป็นการชั่วคราว ซึ่งกว่าจะใช้งานได้เป็นเวลาหลายชั่วโมงทั้งๆ ที่เป็นเพียงขั้นตอนการยืนยันตัวตนเท่านั้น เรื่องนี้คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เคยออกมาเตือนถึงการเตรียมความพร้อมเรื่องนี้ตั้งแต่การที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายืนยันว่าจะมีการจ่ายเงินผ่านทางระบบนี้ว่าให้เตรียมตัวรับเรื่องนี้ให้ดี อย่าลืมว่าจำนวนคนละทะเบียนผ่านทางโครงการคนละครึ่งมีจำนวน 15 ล้านคน บวกโครงการเที่ยวด้วยกันอีก 1.5 ล้านคน
นางสาวตรีชฎาอธิบายต่อว่า “รัฐบาลก็รู้อยู่ว่าประชาชนลำบากไม่มีรายได้และรอการช่วยเหลือจากรัฐบาลขนาดไหน ยังดันทุรังไปใช้ระบบการโอนสิทธิ์ผ่านแอพ ไม่ได้ถอดบทเรียนการลงทะเบียนคนละครึ่งรอบเก็บตกอีก 1 ล้านสิทธิ์ที่มีคนแห่ลงทะเบียนพร้อมกันเต็มจำนวนในเวลาไม่ถึง 10 นาที ขณะเดียวกันวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมารัฐบาลโอนเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่เพียงแค่มีคนใช้งานมากทำแอพล่ม และทางธนาคารก็ปิดปรับปรุงมารอบหนึ่งแล้ว มาวันที่ 12 กุมภาพันธ์ผ่านมาไม่กี่วันก็ล่มอีก มันบ่งบอกถึงการไม่เตรียมความพร้อมและไม่สนใจความทุกข์ร้อนของประชาชน ปล่อยให้ประชาชนอยู่ตามยถากรรมจริงๆ เพราะขณะนี้ผ่านพ้นมาเกือบ 2 เดือนรัฐบาลทำได้เพียงแค่การโอนเงินเข้าบัญชีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในรอบวันที่ 5 กุมภาพันธ์และวันที่ 12 กุมภาพันธ์เท่านั้น ยังไม่สามารช่วยเหลือผู้เดือดร้อนอื่นได้เลย ส่วนคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนก็ให้เพียงไปติดต่อธนาคารแต่ยังไม่บอกวิธีการว่าจะช่วยเหลืออย่างไร
- “และมีคำถามจากคนที่ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเรื่องการโอนเงิน ที่รัฐบาลจะช่วยเหลือ 7,000 บาทตามมติคณะรัฐมนตรี แต่ยอดโอนทำไมไม่ถึง 7,000 บาท เพราะรัฐโอนงวดแรก 5,12,19,25 กุมภาพันธ์ 5,12,19,26 มีนาคม เดือนละ 675-700 บาท เท่ากับได้รับการช่วยเหลือเพียง 5,400-5,600 บาทเท่านั้น โดยไปรวมกับเงิน 700-800 บาทที่ได้รับอยู่แล้วในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งไม่เป็นธรรมสำหรับประชาชน เงินที่ให้รายเดือนอยู่แล้วไม่ควรถูกนำไปรวมกับเงินช่วยเหลือจากการเยียวยาของรัฐบาล
“ส่วนคนไม่ทีสมาร์ทโฟนจะได้รับวงเงินเข้าบัตรประชาชนเป็นรายสัปดาห์ เงินเข้าทุกวันศุกร์ สัปดาห์ละ 1,000 บาท งวดแรกจะได้รับวันที่ 5 มีนาคม 2564 จำนวน 4,000บาท ใช้สิทธิ์ผ่าน"โดยเมื่อได้สิทธิแล้ว จะได้รับวงเงินเข้าบัตรประชาชนเป็นรายสัปดาห์ โดยวงเงินดังกล่าว ไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้ ใช้ซื้อของแบบเดียวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้ถือว่าเป็นการช่วยเหลือแบบแปลกๆ นอกจากไม่ยอมจ่ายเงินสด จ่ายผ่านบัตร ใช้ผ่อนเป็นรายงวด จ่ายไม่เต็มยอด ซื้อได้ตามร้านธงฟ้าและในเครือ ใช้ได้ถึง 31 พฤษภาคมเท่านั้น จากเสียงเชียร์รัฐบาล กลับเป็นเสียงตำหนิรัฐบาล นอกจากนี้ ยังมีกรณีของคนที่มีอายุมาก แต่ต้องตกงานจากพิษโควิด แต่มีเงินออมมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ควรได้รับการช่วยเหลือ อย่าลืมที่วิกฤตการระบาดโควิด-19 รอบแรกและรอบสอง ที่ทำให้คนเดือดร้อนทั้งประเทศตอนนี้ ก็มาจากรัฐบาลการ์ดตกไม่ใช่ประชาชน แต่คนรับกรรมคือประชาชน โครงการเราชนะ จึงกลายเป็นโครงการที่ทำให้รัฐบาลพ่ายแพ้ เสียทั้งเงินเสียทั้งคะแนนนิยม ที่สำคัญทำให้ประชาชนไม่ปลื้ม รัฐบาลสอบตกทั้งคณะทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษ” นางสาวตรีชฎากล่าวทิ้งท้าย