สืบเนื่องจาก โฆษก ป.ป.ช.ชี้ " ปารีณา" ผิดจริยธรรมร้ายแรง กรณีบุกรุกที่ดินของรัฐมูลค่า 36,224,791 บาท ในบริเวณพื้นที่หมู่ที่ 6 ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ตามที่กรมป่าไม้ ได้ร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ให้ดำเนินคดีอาญากับนางสาวปารีณา ไกรคุป
นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางจริยธรรมร้ายแรง เนื่องจากถูกกล่าวหาเรื่องการบุกรุกที่ป่าสงวน ว่า ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายได้มีหนังสือร้องขอให้ ป.ป.ช. ทบทวนการส่งศาลพร้อมขอให้ความเมตตา ให้ความเป็นธรรมกับตน เนื่องจากมีข้อเท็จจริงปรากฏเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความกังวลหรือไม่เพราะหากศาลรับคำร้องของ ป.ป.ช. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที นางสาวปารีณา กล่าวว่า ไม่ได้ถือว่าจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ 100% เพราะศาลสามารถมีความเห็นเป็นอย่างอื่นได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับความเมตตาของศาล
ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า มองอย่างไรที่เรื่องคดีความเข้ามาพร้อมกันในช่วงที่เข้ามามีบทบาททางการเมือง นางสาวปารีณา กล่าวว่า เมืองไทยเป็นระบบกล่าวหา แล้วก็มีระบบของกระบวนการยุติธรรมที่ให้ความยุติธรรมกับทุกคนทุกฝ่าย ดังนั้นเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว เราก็มีโอกาสที่จะนำพยานหลักฐานต่างๆเข้าต่อสู้ จึงขอวอนสังคมว่าอย่าเพิ่งตัดสินตนเอง เพราะปัญหาเรื่องที่ดินรัฐกับประชาชนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วประเทศไทย และประชาชนบางคนก็ไม่รู้ว่าที่ดินที่เข้าไปทำกินเป็นที่ดินประเภทใด
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่า เรื่องนี้จะเป็นบรรทัดฐานกับ ส.ส. ทุกคนในสภาเพราะตนถูกกล่าวหาเป็นคนแรก ในขณะที่ ส.ส. หลายคนที่ถือครองที่ดินประเภทเดียวกันและได้ถูกร้องต่อ ป.ป.ช.แล้ว ยังไม่ถูกดำเนินการใดๆ
นางสาวปารีณา ยังกล่าวถึงคดีรุกที่ป่าที่กรมป่าไม้ฟ้องร้องดำเนินคดีด้วยว่า ยังไม่ได้รับหมายเรียก หลังจากที่ก่อนหน้านี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีหนังสือขอตัวเพื่อส่งฟ้องคดีมายังรัฐสภา ส่วนตัวเชื่อว่ายังคงอยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ซึ่งก็แล้วแต่ กระบวนการยุติธรรมว่าจะดำเนินการตามขั้นตอนอย่างไร โดยหลังตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ ทำให้ได้เรียนรู้กระบวนการยุติธรรมมากขึ้น หากคดีนี้สิ้นสุดลงจะเดินหน้าเปิดศูนย์ช่วยเหลือประชาชนที่มีปัญหาที่ดินทำกินแบบเดียวกับตนต่อไป
นางสาวปารีณา ยังย้ำด้วยว่า คดีของตนแตกต่างจากคดีของครอบครัวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพราะที่ดินที่ได้ครอบครองคนละประเภทกัน ซึ่งของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธร เป็นการครอบครองที่ป่าสงวน และเป็นการออกเอกสารสิทธิ์แบบผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการครอบครองที่แบบถาวร ต่างจากที่ดินที่ตนครอบครองที่เป็นเพียงที่ สปก. และที่ ภบท.5
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก EasyYukhon