นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ตามที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์พยายามขายฝันว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะขยายได้ 4% โดยตีปี๊บว่าจะดีนั้น อยากให้พลเอกประยุทธ์ได้หัดบวกเลขให้เป็นโดยในปี 2563 เศรษฐกิจไทยติดลบ -6.1% ปีนี้น่าจะขยายได้ประมาณ 1% เท่านั้น ทั้งที่ตอนต้นปีก็บอกเหมือนกันว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 4%
แต่สิ้นปีเหลือเพียง 1% ซึ่งปีหน้าถ้าขยายได้ 4% จริง เมื่อรวมกับปีนี้ก็ยังน้อยกว่าที่ตกลงมา แสดงถึงประเทศไทยถอยหลังและอยู่กับที่มา 3 ปีติดกันในขณะที่ประเทศอื่นขยายตัวแล้วก้าวกระโดดไปแล้ว เช่นประเทศสหรัฐปีที่แล้ว ติดลบ -3.5 % แต่ปีนี้จะขยายตัว 5.5% ประเทศจีนปีที่แล้วไม่ติดลบแถมขยายตัวได้ 2.3% ปีนี้อาจจะโตถึง 8% อีกทั้งเวียดนามปีนที่แล้วก็ไม่ติดลบโดยบวกได้ 2.91% ปีนี้น่าจะขยายตัวได้ประมาณ 4 %ในขณะที่ไทยยังไม่กลับคืนที่เก่าเลย ประชาชนถึงได้ลำบากขัดสนกันอย่างมาก แต่รัฐบาลกลับโวว่าเป็นผลงานทั้งที่ยังติดลบ
นอกจากนี้สถานการณ์เงินเฟ้อของโลกที่กำลังพุ่งขึ้นสูงโดยในสหรัฐคาดกันว่าปีนี้จะมีเงินเฟ้อสูงถึง 6% ซึ่งคาดกันว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดกันไว้ ในขณะที่ธนาคารอังกฤษได้ขึ้นดอกเบี้ยแล้วเพื่อกดอัตราเงินเฟ้อ ในขณะที่ประเทศตุรกีที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจกลับลดดอกเบี้ยผลคือเงินเฟ้อยิ่งพุ่งกระฉูด ดังนั้นพลเอกประยุทธ์จะต้องตามสภาวการณ์ของโลกให้ทัน หากไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าลงไปอีก และหนี้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะมีภาระมากขึ้น โอกาสเกิดหนี้เสียพอกพูนก็จะมากขึ้นด้วย
ปัญหาเงินเฟ้อของโลกนอกจากจะเกิดจากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นหลังจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากวิกฤตไวรัสโควิดแล้ว ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ที่ขาดแคลนก็เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เงินเฟ้อยิ่งสูงขึ้น การขาดแคลนชิปชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทำให้การผลิตรถยนต์ การผลิตโทรศัพท์มือถือ แทบเล็ต และ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ มีปัญหาอย่างมากและต้องล่าช้า
แม้กระทั่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง แอปเปิ้ล โตโยต้า หรือฮอนด้า ก็ประสบปัญหานี้ นอกจากนี้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนก็เป็นปัญหาใหญ่ รวมถึงปัญหาระหว่างจีนกับไต้หวัน ที่อาจจะเป็นชนวนของความขัดแย้งของโลกครั้งใหม่ได้ อีกทั้งยังมีปัญหาโลจิสติกส์ที่ระบบการขนส่งขาดแคลนและมีราคาแพงโดยเฉพาะการขนส่งทางทะเล