ถ้าให้เอ่ยถึงซุปตาร์หนุ่มกล้ามโตที่เป็นคุณพ่อลูก 3 คุณพ่อตัวอย่างของชาวเน็ต นั่นก็คือหนุ่ม กาย รัชชานนท์ สุประกอบ
หนุ่ม กาย รัชชานนท์ นักร้องและนักแสดงผู้แจ้งเกิดจากผลงานภาพยนตร์เรื่อง Sorry ซารังเฮโย เการักที่เกาหลี และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เจ้าตัวได้พบรักกับสาวฮารุ สุประกอบ ที่ตอนนี้เป็นทั้งภรรยาและคุณแม่ลูก 3 นั่นเอง ต้องบอกเลยว่าการเลี้ยงลูกของบ้านนี้เขาโหดมากเลยทีเดียว
คราวนี้เราจะมาเปิดเผยเรื่องราวใน “5 เรื่องจริง กาย รัชชานนท์ หลังพาลูกขึ้นโรงพัก” จะมีเรื่องราวไหนบ้างคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน มาดูกันค่ะ
อันดับ 1 บทบาทนักธุรกิจร้อยล้าน
นอกจากหนุ่มกาย รัชชานนท์ จะเป็นนักแสดงแล้วเจ้าตัวยังมีบทบาทการเป็นนักธุรกิจด้วยนะคะ โดยหนุ่มกายมีธุรกิจหลักร้อยล้านอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ซึ่งมีทั้งโรงงานทำน้ำประปา และโรงแรมสุดหรู โดยธุรกิจนี้หนุ่มกายได้สานต่อมาจากครอบครัวนั่นเอง
\r\n
อันดับ 2 เปิดความเก่งของเจ้าตัว
ครั้งหนึ่งหนุ่มกายเคยได้ทำงานวิจัยอยู่กับประเทศญี่ปุ่น เพราะมีบริษัทหนึ่งเป็นของเจ้าตัวชื่อว่า ไบโอเซลล์ อินโนเวชั่น ซึ่งจะทำการวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ โดยการทำวิจัยในครั้งนี้หนุ่มกายได้ร่วมงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะที่ได้รับรางวัลโนเบลเลยล่ะค่ะ
อันดับ 3 รับอุปการะลูกพี่เลี้ยง
เมื่อปีที่แล้วหนุ่มกาย และภรรยาสาวฮารุ ได้ออกมาเปิดเผยว่าเจ้าตัวนั้นรับอุปการะลูกชายของพี่เลี้ยง โดยก่อนหน้านั้นพี่เลี้ยงคนดังกล่าวได้ลาออกไปดูแลแม่ที่ป่วยจนแม่สิ้นใจก็มาทำงานเป็นกรรมกรที่พัทยาแต่ด้วยความที่ท้องทำงานไม่ไหวเลยติดต่อกลับมาที่หนุ่มกายและฮารุเพื่อขอมาทำงานอยู่ด้วย ซึ่งทั้งคู่ก็ไปรับกลับมาอยู่เหมือนเดิมดูแลจนคลอด และรับอุปการะนั่นเอง
อันดับ 4 ทำหมันเพื่อภรรยา
เป็นที่รู้กันดีว่าหนุ่มกายและสาวฮารุ มีทายาทด้วยกัน 3 คนแล้ว ดังนั้นหนุ่มกายจึงขอปิดอู่ด้วยการทำหมันเอง ซึ่งเจ้าตัวเคยออกมาเปิดประสบการณ์การทำหมันผ่านอินสตาแกรมของตัวเองว่า “ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิดไว้ แค่จุกนิดหน่อย จุกแบบทนได้ ทำเสร็จก็เดินได้ตามปกติ แค่ห้ามออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมหนักๆ 7-10 วัน”
อันดับ 5 พาลูกขึ้นโรงพัก
ใครว่าเป็นลูกดาราแล้วจะถูกเลี้ยงแบบตามใจ คุณคิดผิดแล้วล่ะค่ะ เพราะหนุ่มกายได้พาน้องคิรินไปยังโรงพัก เพื่อสารภาพผิดกับตำรวจฐานทำลายข้าวของ โดยคุณแม่ได้เผยว่า “วันนี้ถือว่ายากมากสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่จะต้องลงโทษลูกด้วยวิธีเด็ดขาดในแบบฉบับของเขา แต่การให้เขาเรียนรู้ที่จะยอมรับผิดและพร้อมที่จะแก้ไขคืออุปนิสัยสำคัญที่จะทำให้เขาเติบโตแบบมีคุณค่า เพราะสิ่งที่น่าอายกว่าการทำผิด คือการไม่ยอมรับ และโยนความผิดให้ผู้อื่น”
ขอขอบคุณรูปจาก IG harusuprakob guyratchanont