“ก๊อต” จิรายุ ตันตระกูล นักแสดงหนุ่มมากฝีมือ “สามีแห่งชาติ” คนล่าสุดจากละครเรื่อง กระเช้าสีดา จะเปิดเผยเส้นทางในวงการบันเทิงกว่า 10 ปี พร้อมเปิดใจหลังเป็นนักแสดงอิสระ เคลียร์ข่าวคนเม้าท์ว่าเป็นนักแสดงติสท์แตก
กระแสละครกระเช้าสีดาเป็นอย่างไรบ้าง
ก๊อต : เป็นโชคดีของผมที่ได้ร่วมงานกับพี่ปีเตอร์ ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล พี่นุ่น (วรนุช ภิรมย์ภักดี) และกรีน (อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล) เพราะทำงานสนุกมาก ในละครบทบาทก็เข้มข้น ฉากที่ต้องเข้ากับอาตู่ (นพพล โกมารชุน) เราไม่ต้องเตี๊ยมกัน แต่เราไปซัด กันหน้าเซทเลย แล้วทำให้การโต้ตอบมันสนุกมาก ซึ่งมันไม่ใช่การตอบโต้ของก๊อต จิรายุ แต่มันคือการตอบโต้ของตัวละครอำพน ที่ตอบโต้ท่านจรินทร์ที่เป็นพ่อของเราจึงไม่มีเราเป็นส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนถ่ายทำเราก็ต้องไหว้ก่อนตลอด เพราะว่าตัวก๊อตยังมีความเคารพในตัวทุกคนอยู่ แม้กระทั่งกับพี่นุ่นเอง เราต้องเล่นอะไรที่ต้องดันหัวเรา เราก็ต้องขอโทษเขา ทั้งก่อนและหลัง
ได้เล่นกันนุ่นเป็นอย่างไรบ้าง
ก๊อต : พี่นุ่นไนซ์มาก และอัธยาศัยดีมาก เราเลิกเกร็งกันเลยตั้งแต่วันที่เราเวิร์คช็อปกัน กับการแสดงเราใช้พลังเยอะทุกเรื่อง พลังความคิด พลังจินตนาการ แต่เรื่องนี้ที่ต่างออกไปเพราะเราไม่เคยรับบทแบบนี้ เราไม่เคยได้รับบทที่ไม่ดุดัน ที่ผ่านมาบทของเราจะดุดัน เหี้ยมเกรียม โหดเหี้ยม เรื่องนี้ที่ใช้มากที่สุดคือเท็มโป้ ซึ่งผมตีความว่าความฉลาดของตัวละครตัวนี้ คือถ้าเขาคิดอะไรออกเขาจะยิ้มได้ มันทำให้รอยยิ้มรวมกับความฉลาดได้
เรื่องนี้คนดูบอกว่าเอะอะก็ถอดเสื้อ
ก๊อต : ก็บทมาแบบนั้น แต่เราไม่ได้ถอดทุกตอนนะ (ยิ้ม)
ตอนนี้กระเช้าสีดาหยุดถ่ายทำไปก่อน
ก๊อต : จริงๆ แล้ว หลายคนอาจจะเข้าใจว่าเราถ่ายไปออนไปหรือเปล่า จริงๆ ไม่ใช่นะครับ คือคิวแรกที่เราออกอากาศ จริงๆ มันเป็นคิวสุดท้ายที่เราจะถ่ายกันก็คือจบหมดทุกอย่างแล้ว แต่เหลือเศษนิดเศษหน่อย แต่ประเด็นแรกที่เราออกอากาศปุ๊บโควิดระลอก 3 มาพอดี แล้วมันทำให้อีกอาทิตย์หนึ่งเราไม่สามารถไปถ่ายได้ พอได้รับข่าวว่าถ่ายได้ ปรากฏว่ามันไม่ปลอดภัยแล้ว ณ ตอนนั้น แล้วผมคิดว่าเขาตัดสินใจดี ตรงที่โพรเท็กพวกเราไม่ใช่แค่นักแสดง แต่รวมถึงทีมงานด้วย ตอนนี้มันเหลืออีกนิดเดียวที่ยังไม่จบ มันเหลือติ่งนิดๆ หน่อย คือหลังโควิดเราก็ต้องไปตามเก็บ ผมว่าเรื่องนี้มันมีความหลากหลาย บางคนก็เอาใจช่วยฝั่งของอำพนว่าเขาจะรักกันได้อย่างไร ถามว่ามันจะมีการยืดตอนไหม คือผมคิดว่าพอเราเดาทางคนดูได้แล้วว่าเขาอยากเห็นอะไร เราก็ใส่ในสิ่งที่เขาอยากเห็นเข้าไป
คิดไหมว่าเรื่องนี้จะมีคนพูดถึงเยอะขนาดนี้
ก๊อต :ไม่เคยคิดว่ามันจะขนาดนี้ แต่คิดว่ามันน่าจะออกมาดี เพราะเราเห็นเนื้องานตั้งแต่ตอนทำงานแล้ว
ปกติในการรับละครสักเรื่องต้องพิจารณาอะไรบ้าง
ก๊อต : ผมมองว่า พอผมเป็นตัวผลิตตัวละคร ถ้าผมไม่สามารถสร้างผลผลิตที่ดีให้กับลูกค้าได้ ผมไม่กล้ารับปากที่จะรับงานเขา แล้วการทำได้ไม่ดี หมายความว่าเราไม่สามารถดีไซน์ตัวละครเพื่อซัปพอร์ตคาแรกเตอร์ที่เขาอยากให้เราเป็นได้ ส่วนเกณฑ์ในการรับงาน ข้อแรกเราจะอ่านบทเพื่อหาความประทับใจในบทก่อน คือเรามองภาพรวมของเรื่องทั้งเรื่องว่ามันมีอะไรให้คนติดตามได้บ้าง
มีละครเรื่องไหนที่ส่งมาแล้วเราไม่เอาไหม
ก๊อต :โห...เยอะเลย คือคนพอเห็นภาพจำว่าเราป่าเถื่อนดุร้าย เขาก็จะส่งบทป่าเถื่อนดุร้ายมาให้เราเยอะมาก ซึ่งเราเห็นว่าบทแบบนี้เราเคยทำไปแล้ว เราก็จะเบรกไว้ก่อน บทที่ซ้ำจริงๆ มันหาทางเล่นได้นะ แต่แค่รู้สึกว่า การที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ในวงการนั้น มันใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี เพราะฉะนั้นเราขอมีผลงานที่หลากหลายในช่วงเวลาไม่กี่ปีนั้นดีกว่า
เห็นว่าบทอำพน มีโอบามา เป็นอดีตรัฐมนตรีอเมริกาเป็นต้นแบบ
ก๊อต : คือเวลาที่เราสร้างคาแรกเตอร์ผมจะเลือกเกาะบางสิ่งบางอย่างของคนไว้ สาเหตุที่เลือกโอบามาเพราะเขารีแรกซ์ เวลาที่เขาไปอยู่กับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการเช็กแฮนด์ การตบบ่า การทักทายเขาจะมีความรีแรกซ์ ผมก็เลยเอาความรีแรกซ์ตรงนั้น มาเป็นบุคลิกของอำพน ผมไม่ได้เอามาใช้ทั้งหมด เอาแค่ตอนที่เขารีแรกซ์
ตอนนี้เป็นนักแสดงอิสระมากี่ปีแล้ว
ก๊อต : 2 ปี ชีวิตก็ปกติ เหมือนเดิมในหลายส่วน และต่างจากเดิมตรงที่เมื่อก่อนเราเป็นฝ่ายรอ เดี๋ยวนี้เราเป็นฝ่ายที่ขวนขวายและมีอิสระมากขึ้นที่จะร่วมงานกับผู้อื่น ยิ่งเราได้เจอคนเยอะ เราก็ยิ่งได้รับวิสัยทัศน์ ขององค์กรแต่ละองค์กรที่แตกต่างกันไป
ความตั้งใจในการเป็นนักแสดงอิสระเพราะอยากทำงานในต่างประเทศ
ก๊อต : จริงๆ ก็ยังอยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อยู่
ไปเล่นเรื่อง โกลด์ (Gold) ได้อย่างไร
ก๊อต : จริงๆ อึกหนึ่งหน้าที่ของผมคือแคสติ้ง ผมก็ต้องไปแคสติ้งเรื่อยๆ แต่ผมไม่ได้ไปแคสติ้งในฐานะดารา แต่แคสติ้งในฐานะคนที่ไปนั่งรอเขาแคสติ้ง แล้วเวลาทำงานต่างประเทศมันมีข้อดีคือเขาจะไม่รับเราถ้าเราให้ประโยชน์เขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นตัวพิสูจน์ว่าถ้าผมแคสติ้งแล้วผมผ่าน นั่นแสดงว่าศักยภาพผมมากพอที่จะอยู่ในโปรเจคใหญ่ได้ ผมไม่ทราบว่าทำไมเขาเลือกผม แต่ผมเป็นลูกค้าผมก็คงเลือกคนที่มาช่วยงานได้
ความแตกต่างในการร่วมงานต่างประเทศกับในประเทศ
ก๊อต : วัฒนธรรมการทำงานบ้านเรากับเขาไม่เหมือนกัน เขามีมาตรฐานที่เขาต้องทำให้ได้ สมมุติผมต้องไปกอง 6 โมง 6.40 ต้องอยู่หน้าเซทก็ต้องเป็นแบบนั้น เราเลทไม่ได้ ข้อผิดพลาดเขาเยอะ แต่เขาจะเรียนรู้และวันต่อไปเขาจะไม่พยายามทำข้อผิดพลาดนั้นซ้ำอีก และอันหนึ่งที่ผมชอบมากในฐานะนักแสดง คือมีซีนหนึ่งที่ผมต้องคุยกับแอดก้า (เอ็ดการ์ รามิเรซ) ) และแมทธิว (แมทธิว แม็คคอนาเฮย์) แล้วพอคุยกันผมเสียงเบามาก เป็นเสียงกระซิบเลย แฟนผมนั่งอยู่หลังมอนิเตอร์เล่าให้ฟังว่า ผู้กำกับ เรียกหัวหน้าทีมเสียงมาคุยแล้วบอกว่าไปทำอย่างไรก็ได้ให้ฉันได้ยินเสียงนักแสดง แต่อย่าไปบอกนักแสดงให้พูดด้วยเสียงดังล่ะ เพราะเขาพูดด้วยอารมณ์เขา แต่สุดท้ายก็ใช้ไม่ได้ ต้องไปเรดคอร์ดเสียงในอีกวันหนึ่ง
\r\n
หน้าตาได้ ความสามารถได้ แล้วทำไมตอนนี้ยังอยู่ที่เมืองไทย
ก๊อต : ที่จริงเมื่อ 2 ปีก่อน ผมจะไปใช้ชีวิตที่เมืองนอก คำว่าใช้ชีวิตในที่นี้ไม่ใช่ทำงานแต่ไปใช้ชีวิตจริงๆ เพราะอยากรู้ว่าคนประเทศอื่น เขากินอย่างไร เขามีทัศนคติอย่างไร แล้วผมคิดว่า การใช้ชีวิตแบบนั้นจะทำให้ผมเห็นแก๊บช่องว่างที่ผมสามารถแทรกตัวไปได้ แต่โควิดมาเสียก่อน ตอนนั้นเล็งไว้ที่ ธิเบต อเมริกา อิตาลี แต่คงไปๆ กลับๆ คงไม่ได้อยู่ยาว แต่ก็มีคุยกันไว้ว่าจะไปไหนก็จะชวนเขาไป แต่ถ้าเป็นบางประเทศที่มันกันดารจ๋า เราก็คงไม่หิ้วเขาไปด้วย ซึ่งเขาก็มีความคิดเห็นหลายอย่าง แต่คงไม่บอกใน ณ ที่นี้ ตอนนี้โควิดมาจากที่จะไปอยู่ต่างประเทศก็เลยอยู่แต่ในรั้วบ้าน
ถ้าโควิดดีขึ้นแพลนยังเหมือนเดิมไหม
ก๊อต : จริงๆ แล้วผม มองว่ามันเป็นเรื่องของช่วงจังหวะเวลาที่มันเหมาะเจาะด้วย บางครั้ง ความคาดหวังของเรา มันไม่สอดคล้องกับปัจจุบันขณะ เราจึงต้องให้มันรันไปกับปัจจุบันขณะ บอกไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นแบบนั้น แบบนี้
2 ปีที่ผ่านมาปฏิเสธงานหมดเลยหรือ
ก๊อต : คือผมทำงานอัดๆ มา 5 ปีติด พอ 2 ปีที่อยู่นิ่งๆ ก็อยากจะทบทวนตัวเองว่า เราสามารถจะพัฒนางานอย่างไรได้บ้าง บวกกับเป็น 2 ปีที่สนใจเรื่องการเกษตร มันก็เลยกลายเป็นว่าพักสิ่งนี้เพื่อให้ความสนใจอีกสิ่งหนึ่ง ตอนนี้บ้ามาก บ้าที่จะปลูกผัก ปลูกนั่นปลูกนี่ คือผมชอบเรื่องพลังงานทดแทน เพราะโควิดมันทำให้เห็นว่าถ้าอยู่ๆ วันหนึ่งไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำจะทำอย่างไร ก็มีแอบไปซื้อที่บ้างเพื่อทำการทดลอง
มาพูดเรื่องงานแสดงบ้าง ทุกครั้งที่มีการแสดง เรามีการดิวการแสดงกับผู้กำกับโดยตรงเลยใช่ไหม
ก๊อต : ไม่นะ คือถ้าผมร่วมงานกับใครผมจะสังเกตคนคนนั้น ราวกับผมเป็นไม้เลื้อยเลยนะ จะค่อยๆ ไต่ตั้งแต่เท้าจนถึงทัศนคติของเขาว่าเขาเป็นคนอย่างไร ตรงนี้ผมหมายถึงทุกคน เพราะอาชีพผมต้องสังเกตมนุษย์ เพื่อเอาวัตถุดิบนั้นมาแสดง แต่การดิวกับไดเรกเตอร์นั้นก็มีความสำคัญมาก กับบางคนถ้าเราอยากเล่นอะไรเราต้องพูดสิ่งตรงข้าม เพราะบางคนเขาจะไม่รับอะไรก็ตามที่มาจากไอเดียคนอื่น แต่ถ้ามาจากไอเดียตัวเองเขาจะรับ
ตอนเด็กๆ มีความฝันว่าอยากเป็นนักแสดงไหม
ก๊อต : ผมอยากเป็นนักแสดงครั้งแรกตอน ป.3 เพราะแม่มารับไปดูภาพยนตร์เรื่อง เดอะแมสออฟโซโล แล้วเรื่องนั้นทำให้ผมอยากแสดง แต่หลังจากนั้นมันก็หายไปเลย ผมมาเริ่มเข้าวงการตอนอายุ 22 แต่ไม่เข้าใจเรื่องการแสดงเลยจนอายุ 25 คือตอนนั้นผมเล่นเรื่อง ชาติพยักฆ์ พอเล่นเรื่องนี้จบ ผมตัดสินใจจะเลิกแล้วเพราะผมไม่สามารถมีวิธีคิดที่จะสร้างตัวละครใหม่ๆ ได้ ตั้งแต่นั้นก็เลยมาเรียนกำกับ เรียนเขียนบท เรียนการแสดงเพิ่มเติม และเมื่อเอาองค์ทั้ง 3 อย่างนี้มารวมกันเราจึงพบว่าจุดอ่อนเราอยู่ตรงไหน เลยเอาทั้ง 3 อย่างมาใช้ ทั้งในเรื่อง บุพเพสันนิวาส คมแฝก และ หนึ่งด้าวฟ้าเดียว หนังก็ใช้ในคืนยุติธรรม ถามว่าเปลี่ยนจากเดิมไหม ข้อแรกที่เปลี่ยนเลย เราไม่เข้ากองไปด้วยความหวาดกลัว เรากลัวว่าผู้กำกับ คนดู จะไม่เชื่อในสิ่งที่เราโกหก เพราะนักแสดงคือคนที่โกหก เป็นนักต้มตุ๋นดีๆ นั่นเอง
เราเตรียมตัวไปแล้วถ้าคนที่ร่วมเฟรมกับเราไม่ได้เตรียมตัวมาเราทำอย่างไร
ก๊อต : ผมว่าจริงๆ แล้ว มันเป็นการเตรียมตัวของเรา แม้เขาจะไม่โต้ตอบอย่างที่เราคาดหวัง แต่เขาก็โต้ตอบในฐานะตัวละคร ผมเชื่อทุกคนต่างมีวิธีการทำงานต่างกัน เขาก็มีแบบของเขา ผมก็มีในแบบของผม การทำงานร่วมกัน ผมต้องนับถือสิ่งที่เขาทำแต่ผลจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้
ตอนนี้อยู่วงการมานานไม่ค่อยได้เป็นพระเอกน้อยใจไหม
ก๊อต : เออ... ผมจะรู้สึกแย่ ถ้าตัวละครที่ผมแสดงไม่มีใครพูดถึง ผมไม่ได้รู้สึกดีที่คนมาเรียกผมว่าก๊อต แต่ถ้ามีคนเดินมาบอกว่าชอบตัวละครที่เราสร้างจังเลย ผมแฮปปี้แล้ว ถ้าตอนนี้มีคนเรียกผมว่าอำพน ก็ดีใจเพราะเขาดูละครเรา
ก๊อตเคยเล่าให้ฟังว่า พอได้บทมาจะสิงตัวเองให้เป็นบทนั้นที่บ้าน
ก๊อต : ไม่ถึงขั้นนั้น คือผมจะแบ่งเวลา 2 ชั่วโมง คืออย่างช่วงที่ผมรับแสดงเรื่องหนึ่งทีต้องมี 2 คาแรกเตอร์ ผมก็จะดีไซน์ว่า ผมจะมูฟเม้นท์ทุกอย่างด้วยคาแรกเตอร์นี้ แล้วพออยู่ห้องนี้จะมูฟเม้นท์ทุกอย่างในอีกคาแรกเตอร์หนึ่ง แล้วใช้เวลาอยู่กับมันไม่เกิน 2 ชั่วโมง แต่ทำแบบนั้นบ่อยๆ เพราะถ้าทำบ่อยๆ การเข้าถึงตัวละครมันจะทำให้เราไม่รู้สึกเขิน พอไปถึงหน้าเซตปุ๊บเราเป็นได้เลย อย่างตัวอำพนจะเป็นคนรีแรกซ์ ตอนซ้อมเราก็จะซ้อมเป็นเด็ก อยู่บ้านก็จะใส่เสื้อที่มีสีสัน ที่เหมือนเด็กใส่ แล้วพูดด้วยเสียงเด็ก ซึ่งผมจะซ้อมช่วงเวลา 11.00 น. จนถึงบ่ายโมง
เห็นว่าหลงใหลเรื่องศิลปะมากด้วย
ก๊อต : จริงๆ พวกนี้เป็นงานที่ผมวาดอารมณ์หลายๆ แบบ จริงๆ ผมจะวาดทั้งหน้าโกรธ หน้าบี้ง ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ หรี่ตา เต็มไปหมดเลย เพื่อเอารูปพวกนี้มาใส่ในหน้าที่ผมจะพูดในไดอะล็อกต่างๆ เรื่องวาดรูปผมวาดมาตั้งแต่เด็กแล้ว วาดมาตลอด เพราะสื่อสารกับแม่จะสื่อสารด้วยภาพมาด้วยตลอดเราจะคุยกันด้วยภาพ ถามว่าผมเรียนมาไหมก็มีเรียนแต่เรียนไม่จบ ผมเรียนแค่ปี 2 เพราะผมต้องอยู่แค่หน้าคอมผมก็เลยออก ถามว่าเสียดายไหม ผมไม่เสียดายนะ คือพอผมเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบแล้วผมตัดสินใจออก นั่นหมายความว่าผมตัดสินใจไปหาสิ่งที่ผมชอบ
คิดอย่างไรที่คนว่าติสท์
ก๊อต : แรกๆ ไม่ค่อยโอเค แต่พอนั่งดูตัวเองเราก็คิดว่าเราคงจะติสท์จริงๆ คือเราก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าเป็นคนอื่นจะตอบแบบนี้หรือเปล่า คือถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่ตอบ คือจะว่าเราติสท์ก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าผมปกตินะ
ตอนนี้ได้ตำแหน่งสามีแห่งชาติแล้ว แฟนว่าอย่างไรบ้าง
ก๊อต : เอาจริงๆ ผมก็เพิ่งมารู้ว่ามีอะไรอย่างนี้ตอนนี้ ผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอะไรอย่างนี้มาด้วย ผมว่าเขารักตัวละคร เพราะผมไม่ใช่ตัวละคร ในความเป็นจริงผมไม่สามารถอบอุ่นละมุนละม่อมแบบในตัวละครได้ ผมเถื่อนกว่านั้นเยอะ ก็ดีใจที่เขาชื่นชอบผลงาน แต่เราก็เข้าใจได้ว่ากระแสพวกนี้มันเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ก๊อตโอเคกับตำแหน่ง “สามีแห่งชาติ” แฟน โบว์ เบญจวรรณ ว่าอย่างไรบ้าง
ก๊อต : แฟนผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่ เขาก็บอกว่าไม่ได้อยากได้ก๊อต เขาก็อยากได้อำพน กับแฟนคนนี้คบมา 8 ปีแล้ว
รู้เมื่อไหร่ว่า ตุ๊กกี้ คลั่งเรามากขนาดไปทำจี้ชื่อเรา
ก๊อต : ก็เพิ่งเห็นเขามาคอมเม้นท์ทีละอันๆ นั่นแหละ ก็คิดว่าพี่เขาคงชอบตัวละครตัวนี้จริงๆ คือเขามาคอมเม้นต์เยอะมาก เรื่องทำจี้ก็จริงคือผมทราบเพราะว่าผมไลฟ์แล้วเรียกเขามาคุยกันในไลฟ์ เขาก็บอกว่าพี่มีอะไรจะบอกก๊อต แล้วก็โชว์สร้อยให้ดู แล้วมีจี้เป็นตัวอักษรจี ตอนนั้นผมหัวเราะก๊ากเลย แวบแรกที่เห็นผมย้อนนึกถึงตอนที่ผมเป็นเด็กตอนที่ผมคลั่งลีโอนาโด้ แล้วผมเก็บภาพลีโอนาโด้ทุกรูปจากทุกนิตยสาร แล้วเอามานั่งเรียงดูทุกคืน ผมเห็นตัวเองในตอนนั้น ถามว่าอยากจะบอกอะไรพี่ตุ๊กกี้ คือผมอยากจะบอกว่า ขอบคุณมาก ขอบคุณพี่ตุ๊กกี้ และเกรงใจแฟนพี่มากด้วย (หัวเราะ) เพราะเขาบอกว่าเขาใช้ตังค์แฟนซื้อจี้ด้วย
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
คุยแซ่บโชว์