กลายเป็นประเด็นดราม่าร้อนแรงที่ชาวเน็ตให้ความสนใจไม่น้อย หลังมีคนแชร์ภาพการถกเถียงกันระหว่างคู่เพื่อนซี้ น็อต วรฤทธิ์ และ เพชร กรุณพล ในประเด็นเรื่องวัคซีนที่มีการอ้างถึงภาคเอกชน จนทำให้แฮชแท็ก #แบนน็อตวรฤทธิ์ ติดเทรนด์ในทวิตเตอร์ นั่นเอง
สืบเนื่องจากมีชาวเน็ตออกมาแชร์เรื่องราวว่า ทางด้านนักแสดงและพิธีกรชื่อดังอย่าง น็อต วรฤทธิ์ ได้แชร์โพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊กที่มีการอ้างว่า กรณีที่ไม่ปล่อยให้เอกชนซื้อวัคซีนเอง โดยเหตุผลนั้นคือ เอกชนไม่กล้านำเข้าเพราะไม่มีความสามารถพอที่จะรับผิดชอบเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนได้ไหว
ทำให้ต่อมาทางด้านเพื่อนซี้อย่าง เพชร กรุณพล ก็ออกมาคอมเมนต์ร่ายยาวแย้งกับข้อมูลนั้น แต่หนุ่มน็อตกลับตอบกลับว่า "เรื่องของมึง" และเหตุนี้เองก็ทำให้ชาวเน็ตส่วนมากไม่พอใจและวิพากษ์วิจารณ์น็อตอย่างหนัก
จนเมื่อคืนวานนี้ (12 ก.ค.) รายการ แฉ ทางช่อง GMM25 ก็ได้มีการเชิญ เพชร มาร่วมพูดคุยกับ น็อต กลางรายการถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งน็อตก็เผยว่า "ผมได้ข้อมูลเรื่องวัคซีนจากคนอื่นมา ก็เลยโพสต์ไว้จะเก็บไว้อ่านเพราะมันยาว ที่นี้เพชรมันมาอ่านก่อนเลยมาเขียนๆ ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทเนี่ย ผมก็ยังไม่ได้อ่านของมันเต็มหรอก ก็เลยบอกเรื่องของมึง"
เพชรก็เสริมอีกว่า "แต่ด้วยความที่เป็นตัวอักษรที่ไม่สามารถสื่ออารมณ์ได้ว่าแต่ละคนมีความรู้สึกยังไงในคำพูดนั้น คำพูดที่คุยกันแบบมีคำหยาบขึ้นมึงขึ้นกูหรือมีคำว่าเสือก ถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายคุยกันมันเป็นเรื่องปกติ แต่คนไม่รู้จักว่าเราสนิทกันแค่ไหน ใช้คำพูดยังไง มันไม่ผิดที่คนจะตีความหมายแล้วสื่อไปในแนวนั้นได้"
ต่อมาทางด้านน็อตจึงเผยต่อมา "ผมกับเพชรรู้จักกันมานานมาก พูดจากันแบบนี้เพื่อนสนิทกัน พูดกันได้ทุกเรื่อง ซึ่งเราก็ยอมรับซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ไม่มีใครโกรธใครเกลียดกัน สำคัญที่สุดตอนนี้เรากำลังอยู่ในสงครามที่ต่อสู้กับเชื้อไวรัส
ศัตรูของเราคือไวรัส ไม่ใช่พวกเรากันเอง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าวันนี้เรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มีข้อมูลแตกต่างกัน แล้วเราจะต้องมาตีกันให้ต าย เพราะสิ่งที่เราต้องเอาชนะคือไวรัสโควิดนี้ที่ต้องการความร่วมมือจากทุกๆ คน
ผมแชร์เอาไว้เพื่ออ่าน ศึกษาในพื้นที่ของตนเอง เพชรก็มีข้อมูลของเพชร และเพชรก็เข้ามาให้ข้อมูลในพื้นที่ของผม ผมก็เลยเรื่องของมึงไว้ก่อน ขออ่านของตนเองให้เรียบร้อยก่อนสุดท้ายก็พิมพ์ขอบคุณให้กับข้อมูลที่ส่งมา"
สุดท้ายเพชรก็เผยอีกว่า "ผมก็มีข้อความบางข้อความของน็อตที่ผมไม่พอใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อเรายึดมั่นในหลักประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงจะอธิบายแนวคิดความเชื่อตัวเอง แม้จะไม่ถูกใจ เราก็จำเป็นต้องรับฟัง เพราะว่าเราบอกเราอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิแสดงความเห็นกระทำการใดที่ไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น และไม่ละเมิดกฎหมายประเทศ
เพราะฉะนั้นคนที่เห็นต่างจากเรา เราต้องให้ความรู้เขา ให้ข้อมูลเขา แลกเปลี่ยนกันว่าแตกต่างกันยังไง ทำให้เขาเข้าใจมุมมองของเรา ในเส้นทางของเรา ผมเชื่อว่าการขับเคลื่อนประเทศให้ไปข้างหน้าได้ต้องใช้มวลชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ผมเชื่อว่าทุกคนอยากให้ประเทศชาติดีทั้งนั้น เราควรเดินไปด้วยกัน อย่าเดินไปด้วยความเครียดแค้น จงเดินไปด้วยความเข้าใจในเส้นทางของกันและกัน"
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปจาก แฉ วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์