หลังจากที่นักร้องสาว แจม-ชรัฐฐา อิมราพร หรือ แจม เนโกะจัมพ์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความเศร้า ๆ อยู่บ่อยครั้ง จนถูกจับตาว่าเธอกำลังมีปัญหาเรื่องความรักกับ กิต แฟนหนุ่มนักธุรกิจหรือเปล่า ทั้งที่ทั้งคู่คบกันมานาน 7 ปี แถมฝ่ายชายได้สวมแหวนเพชรเม็ดโต ขอแต่งงานไปเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2563 และมีโมเมนต์ลองชุดเจ้าสาวแล้วด้วย แต่ก็ยังไม่ได้จัดงาน เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19
ล่าสุด (7 พ.ค. 65 ) แจม ชรัฐฐา ได้เปิดใจทั้งน้ำตาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “สถานะตอนนี้โสดค่ะ ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันค่อนข้างกะทันหัน หลาย ๆ คนอาจจะตกใจ จริง ๆ แจมเริ่มไล่บอกเพื่อน บอกแขกแล้วว่าอีก 2 เดือนเราจะแต่งงาน เราคบกันมานาน 7 ปี แต่ว่ามันมีหลาย ๆ อย่างที่พอ 7 ปีผ่านไปมันไม่เหมือนปีแรก ๆ ที่เรารู้จักกัน พอเราเริ่มรู้จักกันดีมากขึ้นก็เริ่มเห็นว่ามีหลาย ๆ อย่างที่มันไม่ตรงกันในหลาย ๆ เรื่อง โดยรวมก็เป็นเรื่องของทัศนคติในการคิด การพูด หรือว่าการใช้ชีวิต การเรียงลำดับความสำคัญในการใช้ชีวิตมันไม่ตรงกันเลย”
“ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ตัวแจมเอง อาจจะเป็นตัวเราด้วยที่เราเติบโตขึ้นและเรามีมุมมองการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ที่มันมากขึ้น แล้ว 2–3 ปีมานี้พยายามที่จะปรับทุกอย่างเข้าหากัน โดยที่ตัวเราพยายามปรับทุกอย่างเข้าหาเขา แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ใจ และแจมคิดว่าการที่เราจะแต่งงานกันหรือใช้ชีวิตร่วมกันมันอาจจะดึงให้เราเข้ามาใกล้กันขึ้น แต่พอเราได้ใช้ชีวิต ได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น เราเห็นว่าไม่สามารถเข้ากันได้ คือมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องว่าเรารัก ไม่ได้รัก หรือหมดรัก แจมยังรักเขาอยู่ แล้วก็ยังหวังดี ”
“จริง ๆ แล้วเราเป็นคู่รักที่ไม่ได้เข้ากันเลยในเรื่องของไลฟ์สไตล์หรืออะไร แต่ว่ามันเหมือนอยู่ได้ด้วยความรัก แต่ว่าพอเราใกล้การแต่งงานสิ่งที่เราคิดมีมากขึ้น เราได้เรียนรู้ว่าการจะใช้ชีวิตร่วมกันไปจนตลอดชีวิตมันไม่ได้มีแค่รักอย่างเดียว”
“เราคิดอยู่มาประมาณ 2 – 3 เดือนแล้วว่าเราควรจะต้องทำยังไง เราจะเดินต่อหรือเราจะหยุดแค่นี้ เพราะว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันทำร้ายจิตใจเราข้างในด้วย แล้วเราก็รู้ว่าเราไม่สามารถเป็นคนที่เติมเต็มให้เขาได้แบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์สมบูรณ์ เรารู้ตัวเราดีถ้าเราฝืนทำเราก็ไม่ได้มีความสุขและเราจะเป็นทุกข์จากสิ่ง ๆ นั้น”
\r\n“เราก็พยายามที่จะบอกและปรับเข้าหากัน แต่ว่าพี่เขาก็เป็นตัวของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์สมบูรณ์แล้ว เขาเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ว่าตัวเราเองที่ไม่ซื่อสัตย์กับความต้องการของตัวเอง คือแจมเป็นคนที่ คือเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เห็นคุณค่ากับความต้องการของตัวเองมากพอ แล้วพอมันใกล้ถึงเวลามันยาวนานมา 7 ปี จนสุดท้ายแล้วเรารู้ว่าเราไม่สามารถฝืนมันได้”
“ถามว่าเรื่องความรักที่เรามีให้เรามีหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าอย่างที่บอกค่ะเรื่องของความรักกับการใช้ชีวิต คือชีวิตคู่มันต้องมีเรื่องของไม่ใช่แค่แฟนกัน คบกัน เธอรักฉัน ฉันรักเธอ มันมีแค่นั้น แต่พอเราจะแต่งงานมันเป็นเรื่องของไดเร็กชั่นของการใช้ชีวิต การเรียงลำดับความสำคัญของชีวิตว่าเราให้ความสำคัญสิ่งไหนกับการใช้ชีวิตมากกว่ากัน”
“ไม่ได้กลัวการมีครอบครัว แต่แจมมองว่าการที่เราจะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนที่เขาจะมาเป็นสามีของเรา เราต้องมองไปในทิศทางเดียวกัน แล้วสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้นที่เรารับรู้ที่เราเห็นมันไม่ใช่ทิศทางเดียวกัน แล้วเราพยายามคุยแล้ว มันขัดแย้งมาโดยตลอด”
“สำหรับแจมคือพี่เขาเป็นตัวของเขาเองอยู่แล้ว เขาไม่ใช่คนไม่ดีหรือว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวหรืออะไรเลย เขามีไดเรกชั่นมีทิศทางในการใช้ชีวิตของเขาอยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่เราเพิ่งมาค้นพบเป็นจุดที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวทางของเรา และเราพยายามคิดและเราพยายามคิดและปรับที่ตัวเราเองแล้วว่าเราจะเดินไปกับเขาได้มั้ย แต่สุดท้ายเรารู้แล้วว่ามันฝืน มันควรจะมีความสุขด้วยกันทั้งคู่แต่มันไม่เป็นแบบนั้น มันก็เหมือนสร้างความทรมานให้กับคนสองคน แจมก็เลยรู้สึกว่า โอเคเราอาจจะต้องยอมรับความจริง สิ่งที่ทำให้มันเลยมานานขนาดนี้คือการที่แจมไม่ได้ยอมรับความจริง”
“จะบอกว่ายื้อก็ใช่ค่ะ ตัวแจมเองที่ยื้อความสัมพันธ์นี้ให้มันเนิ่นนาน เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น แต่ว่าพอถึงจุด ๆ หนึ่งเรารู้ว่าเรายอมรับความจริงว่ามันคืออะไร เราเข้ากันไม่ได้ไม่ว่าเราจะพยายามมากแค่ไหนแต่แต่ว่ามันไปด้วยกันไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าเราจะรักกันขนาดไหน แจมก็เลยคิดว่าอยากจะยุตติความสัมพันธ์นี้ลง เราต้องการให้พี่เขาได้มีชีวิตในแบบที่ได้เจอคนที่สามารถไปกับเขาได้ 100% ซึ่งคนคนนั้นเรารู้ว่าไม่ใช่เรา เราไม่อยากจะเห็นแก่ตัว แล้วก็ยื้อความสัมพันธ์นี้ต่อไป (ร้องไห้)”
“เรารู้ว่าหลายๆอย่างในตัวเราไม่ได้เป็นแบบที่เขาต้องการได้ ซึ่งเราจะพูดแค่ว่าเรารักเขาไม่ได้ คือการที่เราจะรักใครสักคนหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็น อนาคตที่ต้องใช้ร่วมกัน มันต้องรักโดยที่เราไม่ต้องพยายามอะไร นั่นคือความรักในอุดมคติของแจม แต่ในเมื่อมันต้องพยายามทุก ๆ อย่าง มันทำให้ความสัมพันธ์ค่อย ๆ ถอยห่างออกไป ตัวเราเองยอมรับว่าช่วงหลัง ๆ มานี้ก็คือมันเหมือนรักแบบถูกใจค่ะ เราก็ไม่อยากจะทำให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปค่ะ แล้วเราต้องการให้เขารับรู้ด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถปรับได้เลยจริง ๆ ค่ะ”
“คือมันเป็นสุดทางของเขาแล้วเหมือนกันค่ะ เขายื่นมือมาหาเราได้เท่านี้ค่ะ ส่วนตัวเราเราสามารถยื่นไปได้ แต่ว่าเรารู้ตัวว่ามันไม่ได้มาจากความสบายใจทั้งหมด ก็เลยคิดว่ามันเหมือนเป็นความสัมพันธ์ที่มันท็อกซิกค่ะ มันไม่ใช่ความรักที่จะต่อยอดไปได้ไกลมากกว่านี้ค่ะ”
“สำหรับครอบครัวก็เคารพความคิดเห็นของเรา เขาก็ถามว่าคิดดีแล้วใช่มั้ย คือแจมทบทวนเรื่องนี้มานานมาก ตอนแรกไม่ได้บอกใครเลย เพราะเราไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นแค่สิ่งที่เราคิดไปเองหรือเปล่า แต่มันก็ลากยาวมาเป็นปี แล้วก็มาคิดทบทวนหนักมากขึ้นช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ เลยต้องตัดสินใจที่จะหยุดอยู่ไว้เพียงแค่นี้ เพราะต้องการที่จะให้ความรักครั้งนี้มันหยุดอยู่แค่ภาพจำตรงนี้ ภาพที่เรามองเขาว่าเป็นคนยังไง แล้วเราเป็นแบบไหน”
“ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าแจมไม่รักเขาเลย แจมขอบคุณเสมอที่เขาเคยอยู่เคียงข้างแจม และซัพพอร์ตทุกสิ่งอย่าง และแจมขอโทษที่ไม่สามารถเป็นคน ๆ นั้นให้เขาได้ วันนี้แจมก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่ แต่แจมรู้ว่าถ้าเขาได้เจอกับคนที่เขารัก และคนที่สามารถเข้ากับเขาได้ทั้งหมด เขาจะมีความสุขมากกว่านี้
ชุดแต่งงานที่ตัดไว้แล้ว ตอนนี้ชุดอยู่ฝรั่งเศส ตัดเสร็จเรียบร้อยกำลังเตรียมส่งกลับมา ส่วนการ์ดแต่งงานตอนนี้ทำบัตรเชิญแบบอีการ์ดแล้วค่ะกำลังเตรียมส่งให้กับทุกๆคน ก็คือสิ่งที่เสียดายไม่ใช่เรื่องของเวลาที่เราคบกันมานาน หรืองานแต่งงานที่เราอยากจะจัดค่ะ สิ่งพวกนั้นไม่ได้สำคัญเลย แต่สิ่งที่แจมเสียใจคือเราพยายามไม่มากพอที่จะเป็นคน ๆ นั้นของเขาได้ เราไม่สามารถก้าวข้ามสิ่งที่เราเป็น และเราไม่สามารถปรับเข้าหากันได้ค่ะ มันเลยทำให้เราเสียใจค่ะ”
“แล้วก็สิ่งที่เราคาดหวังว่าเขาจะเป็นเพื่อเรา หรือสิ่งที่เขาคาดหวังว่าเราจะเป็นเพื่อเขา มันไปด้วยกันไม่ได้เลย ไม่ว่าเราจะพยายามปรับ พยายามคุยกันแค่ไหน สมมติว่าถ้าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว เราควรจะเป็นคู่รักที่เห็นแก่ตัวไปด้วยกัน แต่ว่ามันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นมันเลยต้องหยุดค่ะ”
“เหตุผลของครอบครัวไม่เกี่ยวเลยค่ะ ครอบครัวของพี่เขาน่ารักมากๆ เขารักและเอ็นดูแจมตลอดเสมอมา ดีกับแจมมากๆ ซึ่งแจมก็รู้สึกเสียใจมากๆ ที่ทำให้ครอบครัวของเขาผิดหวัง คุณแม่ของเขาผิดหวัง แต่แจมคิดแล้วว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจเพื่อที่ทุกคนจะได้เดินหน้าต่อไปอย่างถูกต้องค่ะ”
“เพื่อนก็เป็นห่วง เพราะเขารู้ว่าเราเป็นคนคิดมาก เพื่อนก็จะแวะเวียนมาหาไม่ขาดสาย (หัวเราะ) กลัวเราฟุ้งซ่าน แต่มันเป็นความโล่งใจที่เราไม่ได้ยินดีที่จะให้มันเกิดขึ้นค่ะ มันเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าแจมตัดสินใจดีและตัดสินใจถูกที่สุดเท่าที่เราจะกลั่นกรองออกมาได้แล้ว แต่ไม่ใช่ความยินดีที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น และ 7 ปีที่ผ่านมาเป็นความรู้สึกที่เราคงไม่ได้ทิ้งมันไปค่ะ เป็นความรู้สึกที่เราจะเก็บมันไว้ตลอด เพราะเราไม่ได้เกลียดเขา ไม่ได้โกรธเขา และแจมน้องขอบคุณที่เขาเข้าใจและเคารพการตัดสินใจครั้งนี้ของแจมด้วยค่ะ พี่เขาก็จะยังเป็นหนึ่งคนที่แจมจะยังรักอยู่เสมอค่ะ”
“เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นบทเรียนสอนแจมครั้งที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ เพราะเรารู้แล้วว่าถ้าในอนาคตจะมีใครเข้ามาในชีวิต เราคงต้องซื่อสัตย์กับความต้องการของตัวเองให้มากกว่านี้ เราไม่ควรที่จะปล่อยความรู้สึกของเราไป สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างมันพังลงเพราะว่าแจมไม่ได้รักตัวเองเลย แจมไม่ได้เห็นความสำคัญในความรู้สึกหรือความต้องการของตัวเอง ทำให้ทุกอย่างมันเกิดการสะสมจนมาถึงตอนนี้ แต่ถามว่าตอนนี้อยากจะคุยกับใครหรือเปิดใจอะไร ก็อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เราอยากจะคุยกับใครค่ะ ต้องการอยากจะอยู่กับตัวเองสักนิดนึงค่ะ”
ขอบคุณข้อมูลจาก NineEntertain Official