หลังจากที่ น.ส.สาวิกา ไชยเดช ได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอความกรุณาศาลมีคำสั่งอนุญาตปลดกำไล EM เนื่องจากความสะดวกในการรับงานแสดงเพื่อหารายได้ เพราะการติดกำไล EM จะสร้างปัญหาในการแสดง และการเดินทาง ศาลพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตปลดกำไล EM ตามคำขอ จากนั้น น.ส.สาวิกา ไชยเดช ได้เดินทางกลับทันที
ล่าสุด พิ้งกี้ ก็ได้ออกมาเปิดใจครั้งแรก ในงานพิธีบวงสรวงภาพยนต์เรื่อง กุมาร โดยได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า
"ไม่ตื่นเต้นมากค่ะ เรียกได้ว่าปรับตัวมาสักระยะนึงแล้วค่ะ ก็ชินอยู่ เขาเรียกว่าไปปฏิบัติธรรมมา มุมมองของพี่หน่อยคิดว่าเราไปปฏิบัติธรรม กี้ไม่ได้คิดว่าปฏิบัติธรรมเพราะตัวกี้เองก็คือตัวกี้เองแหละ เรียกว่าเป็นวัฏจักร เราได้ไปเรียนรู้ชีวิต แล้วก็ได้ไปพบเจออะไรบางอย่างในประสบการณ์สุดโต่งค่ะ คิดว่าแบบนั้น
ไม่ได้กดดัน เพราะว่าเราก็คือคนทำงานแหละ แล้วก็ตราบใดที่เราศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็น กี้เชื่อว่าความจริงมันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องบอกว่าเราคือคนที่เป็นอย่างนี้ค่ะ ทำงานมาตลอด จะพูดว่าเราไม่ใช่คนที่เบียดเบียนใครเพราะฉะนั้นบางทีชะตากรรมมันก็พัดพาสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในชีวิตเราใช่ปะ แต่ว่ามันอยู่มุมมองของการตั้งรับว่าเราจะตั้งรับและมองมัน แล้วก็หาเหลี่ยมของมันว่าเราจะมองมันยังไงให้เป็น ซึ่งวันนี้ก็ถือว่าชีวิตเราก็เหมือนละครเรื่องหนึ่ง
ตั้งรับยังไง เหมือนทุกคนแหละเจอปัญหาแล้วเราก็ไม่คิดว่าชะตามันจะตกแต่งสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นให้กับเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจริงๆ แล้ว พี่ปิ๊กก็คือคนที่เป็นทนายให้เรา เพราะว่าจริงๆ แล้วตามกฎหมายแล้วพี่ปิ๊ก (ทนายความ) จะพูดได้มากที่สุดค่ะ
อย่างที่ทุกคนทราบ เวลาเราเจอปัญหาหนักๆ เราต้องศรัทธาตัวเองก่อน และรักตัวเองให้มากที่สุด มันเป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เราก็สู้ตามกระบวนการกฎหมายตามที่มันเป็น กฎหมายว่ายังไงเราก็สู้ตามนั้น ก็ฝากชีวิตไว้ที่พี่ปิ๊ก เพราะพี่ปิ๊กช่วยคอยดูแลทั้งหมด เพราะพี่ปิ๊กเป็นทนายที่ให้ความช่วยเหลือได้ดีมาก
\r\nพาร์ตการถูกกล่าวหา เราก็ถูกกล่าวหา แล้วเราก็สู้ตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อเราได้ถูกกล่าวหาเราก็ต้องสู้ แล้วเราก็รอความจริงกับสิ่งที่เป็นความยุติธรรม เราเชื่อว่ามันจะรอเราอยู่ปลายอุโมงค์ เราคิดว่ามันรออยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนไม่ต้องแพนิกไม่ต้องตกใจ วันหนึ่งเดี๋ยวมันจะพิสูจน์เอง มั่นใจค่ะ เราเชื่อในความเป็นตัวเองของตัวเอง แล้วศรัทธาในตัวเอง"
ด้านทนาย (พี่ปิ๊ก) เผยต่ออีกว่า "เป็นเรื่องของอดีอาญา เป็นเรื่องของกระบวนการในทางศาล รอขั้นตอนกระบวนการในทางศาล คดีจะเริ่มพิจารณาปลายเดือนสิงหาคมปีนี้ ศาลชั้นต้นจะจบเกือนกุมภาพันธ์ปีหน้า หลังจากนั้น 2-3 เกือนจะมีคำพิพากษาออกมา ในส่วนของคุณแม่ ทางเราได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอต่อศาล"
พิ้งกี้ ยังได้กล่าวต่ออีกว่า "ก็ได้มีการให้กำลังใจคุณแม่ เราเองก็เป็นนักสู้มากกว่า สู้ต่อไปนะคะ พอมายืนตรงนี้ เราไม่สามารถตามโซเชียลได้เลย เขาไปถึงไหนกันแล้ว เราก็อาจจะดีเลย์นิดนึง คนที่เขาประสบความรู้สึกคล้ายๆเรา น่าจะมีอีกเยอะ อยากให้มองว่าชีวิตเราก็เป็นนักสู้คนนึง ให้กำลังใจตัวเองช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ"
ขอบคุณ pinkysavika