เป็นอีกหนึ่งพิธีกรชื่ดังมากความสามารถที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมานาน สำหรับ ก๊อตจิ เทยเที่ยวไทย หรือ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ก๊อตจิ ทัชชกร บุญลัภยานันท์ ที่โด่งดังมาจากรายการ เทยเที่ยวไทย ที่นอกจากความสามารถเบื้องหน้าแล้ว เธอก็ยังเคยทำงานเบื้องหลังมาก่อนอีกด้วย นอกจากนั้นเธอยังเป็ฯคนที่สร้างเสียงหัวเราะให้แฟนๆ มาโดยตลอด ถึงแม้รายการ เทยเที่ยวไทย จะยุติการถ่ายทำไปแล้ว แต่แฟนคลับก็ยังให้การสนับสนุนเธอเหมือนเดิม
อย่างที่ทราบกันดีว่า ก๊อตจิ นั้นเป็น LGBTQ+ ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ได้เธอก็ฝ่านอุปสรรคมามากมาย ล่าสุด ก๊อตจิ ได้ออกมาเปิดใจในรายการ โต๊ะหนูแหม่ม และได้เล่าถึงปมในใจเรื่อง LGBTQ+ ว่า “ตอนเด็กๆ ก็เป็นเหมือนเด็กผู้ชายที่เรียบร้อย ครูก็จะเขียนในสมุดพกว่า เป็นเด็กที่มีพฤติกรรมเรียบร้อยก็จะเป็นลักษณะแบบนี้มา หนูก็ทำไม่ได้วี๊ดว๊ายมากมาย ดูอาจจะเรียกว่ารู้จักกาลเทศะหน้าที่ของเรามากกว่า หน้าที่ของเราคือการเรียน เรื่องที่หนูเป็น LGBTQ+ หนูว่าครอบครัวหนูรู้มาโดยตลอด ครอบครัวหนูรู้ตั้งแต่หนูเด็ก พ่อแม่หนูเค้าก็รู้แต่เขาไม่มาพูดกับหนูตรงๆ เขาก็เลี้ยงหนูมาอย่างดีและทำหน้าที่พ่อแม่มาโดยตลอด เมื่อถึงเวลามันก็จะเป็นเวลาของมันไปเอง
คุณพ่อเป็นคนวางแผนให้หนูตั้งแต่เด็ก เป็นปกติที่ต้องวางแผนว่าให้เราเรียนโรงเรียนชายล้วน ซึ่งหนูก็เรียนโรงเรียนชายล้วน เพราะว่าตอนนั้นคุณพ่อก็เริ่มสังเกตุแล้วว่าเรามีพฤติกรรมแบบนี้ เขาก็คิดว่าถ้าไปโรงเรียนชายล้วนมันอาจจะช่วย อันนี้ต้องบอกเลยว่ามันไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหา แต่สมัยก่อนผู้ใหญ่อาจจะคิดแบบนี้ พ่อก็จะวางไว้ทุกอย่างแต่ว่าเขาก็ไม่ได้กะเกณฑ์ไว้ว่าเราโตขึ้นเราจะเป็นอะไร เข้าแค่วางทางเดินเฉยๆ แล้วให้หนูเป็นคนเลือก”
และทั้งยังเล่าโมเมนต์ตอนที่ยอมรับกับพ่อแม่โดยตรงว่า “ส่วนของหนูอันนี้ต้องเรียนตามตรงว่า คุณครูเป็นคนบอก อันนี้หนูไม่ได้โทษเขานะคะ เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของเขา หนูเข้าใจนะคะคุณครูทำหน้าที่ถูก เขาก็บอกว่าลูกของคุณมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ที่นี้คุณพ่อคุณแม่ก็เลยมาคุยกับหนูตรงๆ ว่าจริงไหม หนูก็ตอบว่าจริง ท่านก็ไม่ได้มีอาการตกใจอะไรนะเท่าที่จำได้ ลักษณะเหมือนที่หนูได้พูดออกไปได้เปิดอกคุยกันอยู่เหมือนยกภูเขาออกจากอก หนูก็ร้องไห้เหมือนความอัดอั้นตันใจทุกอย่างได้ระบายออกหมดแล้ว มันโล่งใจ ณ ตอนนั้น แต่คุณพ่อคุณแม่จะมีความกังวลอยู่คือ โตขึ้นแล้วจะดูแลตัวเองได้ไหม กับสังคมที่เราจะอยู่หนูจะแข็งแรงรับมือกับมันได้ไหม แค่นั้นเลย คือเขาเป็นห่วงว่าลูกจะใช้ชีวิตในอนาคตได้อย่างไร
จากนั้น เขาให้หนูไปพบจิตแพทย์ แต่เขาคิดว่าเรื่องที่ไปพบจิตแพทย์ถ้ามันรักษาได้ อันนี้ย้อนไปสมัยก่อนนะคะ เขาจะมีความคิดแบบนี้ คิดว่ามันอาจจะทำให้เปลี่ยนแปลงได้ มันจะดีกว่าไหมถ้าหนูจะกับไปใช้ชีวิตในสังคม เป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่หนูได้ไปพบ พอออกมาปุ๊บหนูก็บอกกับป๊าม้า คือก๊อตว่าเรื่องนี้มันไม่สามารถแก้ได้นะ เราเป็นโดยเนื้อแท้ของเรา เราเป็นตัวตนของเรา การพบจิตแพทย์มันไม่ได้เป็นการแก้ไขในจุดนี้ หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าไม่ต้องไปอีกเลย อยากทำอะไรทำ อยากให้ใช้ชีวิตแบบไหนใช้เลย”