เปิดเรื่องราวสุดเหลือเชื่อ กับสองเพื่อนรักผู้ลักลอบเดินทางข้ามประเทศด้วยการเกาะล้อเครื่องบิน แอบอยู่ในส่วนเก็บล้อเป็นระยะทางร่วมพันไมล์ ก่อนจบลงด้วยโศกนาฏกรรม
เธมบา คาเบก้า อายุ 30 ปี ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ได้มาเผยเรื่องราวสุดเหลือเชื่อนี้ โดยเขาได้เล่าย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 เขาและเพื่อน คาลิโต วาเล แอบลักลอบเดินทางข้ามประเทศจากกรุงโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ไปยังท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ ประเทศอังกฤษ อันเป็นระยะทาง 5,600 ไมล์ และเป็นเวลากว่า 11 ชั่วโมงที่ทั้งสองเกาะอยู่บนล้อเครื่องบินลักลอบติดสอยห้อยตามไปด้วย!
แต่ในขณะที่เขาทั้งสองอดทนมาอย่างยาวนานจนเครื่องบินกำลังจะลงจอดที่ท่าอากาศยานฮีทโธรว์นั้น คาลิโตเกิดหมดแรงและลื่นตกลงสู่เบื้องล่างเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ได้พบศพของเขาติดอยู่บนเครื่องปรับอากาศของอาคารสำนักงาน ห่างจากสนามบินฮีทโธรว์ไป 6 ไมล์ ส่วนเธมบาหมดสติไปเนื่องจากขาดอากาศหายใจและทนอยู่ในสภาพความหนาวเหน็บกว่า -60 องศาเป็นเวลานาน
หลังจากนอนโคม่าอยู่ที่โรงพยาบาลนานนับเดือน เธมบาก็เริ่มรู้สึกตัวและทราบข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนร่วมชะตากรรม เรื่องราวของเขาได้รับการเปิดเผยครั้งแรกผ่านช่องสำนักข่าวจนหลายคนต่างแสดงความรู้สึกทึ่งในตัวเขาอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่เธมบาเผยถึงการท้าทายชะตากรรมในครั้งนั้นว่า "ความสิ้นหวังมันพาให้คนทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้"
เธมบาเล่าย้อนไปถึงช่วงเวลานั้นว่า "ตอนที่เครื่องบินกำลังออกตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมมองเห็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ ตึกรามบ้านช่องที่เล็กลงทันตา รถราที่เล็กจนมองเห็นเป็นจุดเล็กๆ แต่ผ่านไปไม่นานผมก็เกิดอาการขาดออกซิเจนและสลบไป สิ่งสุดท้ายที่พอจะจำได้คือคำพูดของคาลิโตกล่าวกับผมว่า สุดยอดเลยเพื่อน เราทำได้"
ทั้งนี้ เหตุการณ์ลักลอบเกาะล้อเครื่องบินเพื่อเดินทางข้ามประเทศนั้นเกิดขึ้นทั่วโลกอยู่ราว 109 ครั้ง แต่มีเพียงผู้ลักลอบขึ้นเครื่องบินมายังประเทศอังกฤษเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตกลับมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนรับรู้ได้อีกด้วย โดยครั้งแรกเป็นชายชื่อประทีป สายนี ช่างเครื่องยนต์จากรัฐปัญจาบ ประเทศอินเดีย ผู้อดทนลักลอบขึ้นเครื่องบินจากกรุงเดลี มายังลอนดอนเมื่อปี 1996 เป็นระยะเวลากว่า 10 ชั่วโมง ส่วนครั้งที่สองคือเรื่องราวของเธมบาที่ทุกท่านได้อ่านกัน...
ขอบคุณข้อมูลจาก: DailyStar