เหตุการณ์แผ่นดินไหว-สึนามิในญี่ปุ่นเมื่อปี 2011 เป็นเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียมากมาย และในขณะเดียวกันยังเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นว่า น้ำใจที่ชายญี่ปุ่นได้รับนั้นมหาศาลแค่ไหน
สำนักข่าว xinhuathai รายงานข่าวว่า เมืองเคเซนนุมะ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นท่าเรือประมงและรีสอร์ทท่องเที่ยวชื่อดังในจังหวัดมิยางิ ถูกคลื่นยักษ์สึนามิซัดกระหน่ำเสียหายหลังเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 9.0 ตามมาตราแมกนิจูด เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2011 ซึ่งหลังจากเกิดเหตุขึ้นแล้ว นานาชาติต่างยื่นมือให้ความช่วยเหลือแก่ญี่ปุ่นกันมากมาย รวมถึงจีนด้วยที่ได้จัดสรรสิ่งของบรรเทาทุกข์และทีมกู้ภัยลงพื้นที่ประสบภัยพิบัติในญี่ปุ่น รวมถึงจังหวัดมิยางิ ขณะเดียวกันประชาชนชาวจีนร่วมจัดส่งสิ่งของและเงินบริจาคแก่ผู้ประสบภัยเช่นกัน
เมื่อครั้งเกิดสึนามิ มิตสึรุ ซาโต้ สมาชิกกรรมการบริษัทซาโต้ ฟิชเชอรีส์ คอร์ปอเรชัน (Sato Fisheries Corporation) ในเมืองโอนากาวะของจังหวัดมิยางิ คือชายที่เคยรุดเข้าช่วยเหลือคนงานชาวจีน 20 คน แต่ตัวเขาเองกลับถูกคลื่นซัดสูญหายไป เรื่องราวของมิตสึรุ ซาโต้ ถูกเล่าขานเป็นวงกว้างในจีน สร้างความประทับใจแก่ชาวจีนจำนวนมาก รวมถึงติงฮุ่ยหลาน ประธานสมาคมมิตรภาพญี่ปุ่น-อวิ๋นหนาน (ยูนนาน)
สิบปีก่อนเมื่อครั้งเกิดแผ่นดินไหว อู๋เหม่ยลี่ เป็นนักศึกษาชาวจีนที่เรียนอยู่ในโตเกียว ทันทีที่เธอเห็นภาพอันน่าหวาดกลัวของสึนามิทางโทรทัศน์ สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือการเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยด้วยตัวเอง หลังจากติดต่อไปยังองค์กรอาสาสมัครหลายแห่ง ในที่สุดเธอได้ขึ้นรถบัสของอาสาสมัครจากชินจูกุ และเดินทางไปยังเคเซนนุมะในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม "เมื่อฉันได้ขึ้นรถบัสคันนั้น ถึงได้รู้ว่าฉันไม่ได้เป็นอาสาสมัครชาวจีนเพียงคนเดียว แต่ยังมีชาวจีนร่วมเดินทางไปด้วยกันอีก 3 คน" อู๋กล่าว โดยทีมอาสาสมัครของเธอรับหน้าที่ไถดิน ซึ่งไม่มีเครื่องจักรช่วยเหลือ มีเพียงจอบและมือทั้งสองข้าง พวกเธอทำงานนั้นติดต่อกันถึง 5 วัน
อู๋เล่าว่าวันสุดท้ายของงานอาสา เพื่อนร่วมห้องชาวญี่ปุ่นถามเธอว่า "ทั้งที่ญี่ปุ่นเคยทำเรื่องราวแบบนั้นกับจีนในอดีต ทำไมคุณถึงยังมาที่นี่ล่ะ ตอนนี้คนญี่ปุ่นก็แห่ออกจากเขตภัยพิบัติไปแล้ว" "ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นมายมากนัก เพราะมันเป็นภัยพิบัติที่มนุษย์เผชิญร่วมกัน ฉันเพียงแต่คิดว่าควรทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้ ฉันจึงมาอยู่ที่นี่" อู๋ตอบเพื่อนชาวญี่ปุ่น ผู้ปล่อยหยาดน้ำตาหยดไหลออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ...
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก: xinhuathai