หลายครั้งเวลาเจองู เรามักจะเหมารวมพวกมันว่าเป็นงูพิษร้ายแรง จริงอยู่ที่งูหลายชนิดส่วนใหญ่มีพิษ และก็มีหลายชนิดเช่นกันที่ไม่มีพิษ วันนี้เราจะมาคลายสงสัยให้ทุกท่านกัน
นอกจากจะสามารถแยกแยะได้ว่า งูตัวไหนเป็นงูพิษและตัวไหนเป็นงูไม่มีพิษแล้ว การที่เรามีความรู้เรื่องงูมาบ้างก็ช่วยให้เราสามารถปฐมพยาบาลตัวเองได้ถูกวิธีเวลาโดนพวกมันจู่โจม จะเป็นอย่างไรบ้างเลื่อนลงไปชมกันเลย
สำหรับวิธีแยกแยะให้ออกว่างูตัวไหนมีพิษหรือไม่มีพิษนั้น นักวิทยาวิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกได้จำแนกความแตกต่างระหว่างงูมีพิษและไม่มีพิษเอาไว้อย่างเฉพาะเจาะจง แต่อย่างไรก็ตามบนโลกใบนี้มันก็มีงูมากมายหลายชนิดแถมมีชื่อเฉพาะของมันที่เรียกยากเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีจุดแตกต่างร่วมอยู่ ที่พอให้เราคาดเดาได้ว่ามันมีพิษหรือไม่มีพิษ ดังต่อไปนี้
1. ดวงตา - ถ้าเป็นงูไม่มีพิษ ตาของมันจะกลมโต ขณะที่งูพิษจะตาเรียวเล็กคล้ายเพชร แต่กระนั้นเราก็ไม่สามารถสังเกตดวงตามันเพื่อแยกประเภทงูได้อย่างเดียว เพราะมีงูพิษบางชนิดที่มีดวงตากลมโต เช่นงูแบล็ค แมมบ้า (แอฟริกา) งูเห่า (แอฟริกา, ตะวันออกกลาง, เอเชีย) และงูไทปัน (ออสเตรเลีย) และยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกเพราะงูไม่มีพิษบางชนิดก็สามารถเปลี่ยนจากดวงตากลมโต ไปเป็นตาเพชรได้หากมันตกอยู่ในอันตรายเช่น งูหมอก เป็นต้น
2. งูมีพิษจะมีต่อมพิเศษที่ไวต่อความร้อน อยู่บริเวณหว่างตาและรูจมูก เพื่อตรวจจับความร้อนและล่าเหยื่อเป็นอาหาร
3. งูมีพิษส่วนมากจะมีหัวเป็นทรงสามเหลี่ยม รอบหัวจะกว้างกว่างูไม่มีพิษ ส่วนงูไม่มีพิษจะมีหัวทรงกลม
4. งูมีพิษจะมีลายเกล็ดส่วนท้ายหางเป็นแนวเส้นตรงเดี่ยวๆ ขณะที่งูไม่มีพิษจะเป็นลายเส้นสองเส้นตัดกันเป็นแฉกๆ
\r\n5. งูมีพิษมักจะมีสีโทนสว่าง สดใส และสามารถส่งเสียงขู่ฟ่อๆได้ สั่นเสียงกระดิ่งเพื่อล่อเหยื่อ (สงวนสิทธิ์เฉพาะงูหางกระดิ่งเท่านั้น) และมีพฤติกรรมก้าวร้าว แต่ทั้งหมดนี้ต้องยกเว้นให้เจ้างูมิลค์ แม้มันจะเข้าข่ายทุกอย่างที่พูดมา แต่มันเป็นงูไม่มีพิษ อย่าเข้าใจผิดละกัน
6. อีกสิ่งหนึ่งที่ชวนให้สับสนคืองูน้ำซึ่งเป็นงูไม่มีพิษ และงูแมวเซาซึ่งเป็นงูมีพิษดันมีลักษณะหลายอย่างคล้ายกัน แต่ทั้งนี้คุณสามารถแยกแยะมันออกได้โดยดูจากสีบริเวณลำคอ ถ้าเป็นงูน้ำจะมีลายสีเหลืองห่อรอบลำคอ ขณะที่งูแมวเซาจะมีลายแนวซิกแซกยาวไปตลอดจนถึงหาง
7. ถ้าคุณไปเจองูที่มีลายตามลำตัวเป็นทรงข้าวหลามตัด หรือมีสีสันบนตัวอย่างน้อย 3 สี ฟันธงไว้ก่อนเลยว่ามันคืองูมีพิษ
8. เราสามารถแยกแยะงูมีพิษและไม่มีพิษได้จากการว่ายน้ำของมัน ถ้าเป็นงูมีพิษมันจะว่ายน้ำโดยโชว์ทั้งตัวให้เห็นบนผิวน้ำ ขณะที่งูไม่มีพิษจะโผล่มาแค่หัวเท่านั้น
เมื่อคุณตัดสินใจออกเดินทางไกล เข้าป่าปีนเขาในแถบชนบทและต้องพักค้างแรม เตรียมใจได้เลยว่าต้องเจอกับเหล่าอสรพิษแน่นอน ดังนั้นเราควรกันไว้ดีกว่าแก้ตามขั้นตอนเบื้องต้นต่อไปนี้
- ตัดถางหญ้ารกให้โล่งเตียน และถ้ามีกองกิ่งไม้อยู่บริเวณแคมป์ของคุณ ให้ทำลายทิ้งให้หมด เพราะงูมีพิษส่วนใหญ่มักใช้หญ้ารกและกองกิ่งไม้ในการซ่อนตัว
- ถ้าเป็นบ้านในแถบชนบท ควรกำจัดหนูไปให้หมด เพราะหนูเป็นตัวดึงดูดให้งูเข้ามาเยี่ยมเยียน
- ถ้าอยากไล่ให้งูไปไกลๆ โดยที่คุณไม่อยากฆ่ามัน หยิบสเปรย์ที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียมาฉีดรอบสนามหญ้า เพราะงูจะเกลียดแอมโมเนียมาก และแอมโมเนียก็ไม่ทำให้พวกมันถึงตายอีกด้วย
- สวมใส่รองเท้าที่ปกปิดครอบคลุมทั้งเท้า โดยเฉพาะส่วนหัวนิ้วโป้งเท้าควรปิดให้มิดชิด
- ปกติงูมักจะไม่โจมตีก่อน เว้นแต่มันจะตกอยู่ในอันตรายหรือรู้สึกกลัว แต่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ระหว่างเดือน มิ.ย. และ ก.ค. เป็นข้อยกเว้น เพราะมันจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวดุดันมากกว่าปกติ และมันจะผลิตพิษได้มากกว่าเดิมหากพวกมันรู้สึกกลัว
ต้องทำอย่างไรเมื่อโดนงูกัด? หากเป็นงูพิษ รอยกัดจะเป็นจุดเล็กๆ 2 จุดเป็นรอยเขี้ยว คุณจะรู้สึกเจ็บปวด ผิวหนังรอบๆจุดที่ถูกกัดจะเริ่มบวมและซีด หายใจลำบาก คลื่นไส้อาเจียน ความดันเลือดสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเป็นไข้ ระหว่างรอรถพยาบาลมารับ หรือไปถึงโรงพยาบาลแล้ว ควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ตรวจสอบผิวหนังของตัวเอง ถ้ายังมีพิษหลงเหลืออยู่ พยายามเอาออกเพื่อไม่ให้มันไหลเข้าไปในแผล
- หาของเหลวใส่ตัวเข้าไปเยอะๆ เช่นดื่มน้ำ ดื่มชา หรือดื่มมันทั้งคู่ในปริมาณมากเพื่อขับพิษออกจากร่างกาย
- พยายามสงบสติอารมณ์ เพราะถ้าคุณตื่นตระหนก หัวใจคุณจะเต้นแรง และเมื่อเต้นแรงมันจะสูบฉีดพิษเข้าสู่ร่างกายได้ไวขึ้น คุณไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแน่นอน
- กินยาต้านฮิสตามีน หรือยาโรคหัวใจ
สิ่งที่ไม่ควรทำเวลาถูกงูกัด มีดังต่อไปนี้:
- กรีดเปิดปากแผลเพื่อเอาพิษออก
- เอาเหล็กร้อนไปจี้หรือทาครีมบริเวณที่ถูกกัด
- ดื่มกาแฟหรือแอลกอฮอล
ขอบคุณข้อมูลจาก: Brightside
Photo credit: Leonid Khan/BrightSide