มาเริ่มกันที่ปี 2100 สภาพอากาศจะร้อนระอุมากกว่าเดิม บางส่วนของทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้และอินเดีย อาจร้อนถึง 110 องศาในช่วงฤดูร้อน ซึ่งจะทำมียอดผู้เสียชีวิตกว่าพันคนในแต่ละปี
ปริมาณน้ำแข็งบนบรรดาภูเขาที่สูงที่สุดในเอเชีย ซึ่งรวมถึงภูเขาหิมาลัยด้วย จะหดตัวลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์จากขนาดเดิมในศตวรรษที่ 21 นี้
(ขอบคุณภาพจาก redorbit)
ทวีปเอเชียจะเผชิญหน้ากับภัยแรงขั้นรุนแรงรวมถึงจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น
(ขอบคุณภาพจาก China Daily)
ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอลป์ในยุโรปจะหายไป
(ขอบคุณภาพจาก snowbrains)
น้ำทะเลในมหาสมุทรจะอุณหภูมิสูงขึ้นและมีความเป็นกรดมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปะการัง
(ขอบคุณภาพจาก Great Barrier Reef National Park Authority)
ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 3 ฟุต และประชากรหลายพันคนจะต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน ประเทศเกาะตูวาลู ประเทศคิริบาสและหมู่เกาะมาร์แชลล์อาจะจมหายไปในท้องทะเล
ดิสนีย์เวิลด์และดิสนีย์แลนด์ในประเทศสหรัฐฯ อาจจมอยู่ใต้น้ำ ชาวสหรัฐฯ กว่า 13 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้อพยพลี้ภัยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ในช่วงศตวรรษที่ 22 การเติบโตของประชากรโลกจะแตะถึง 9.5 พันล้านคน คนรุ่นใหม่จะเผชิญหน้ากับความแย้งของอาหาร น้ำและพลังงาน
ข่าวดีคือเราอาจะได้ไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร โดยสหภาพยุโรป รัสเซีย จีนและสหรัฐอเมริกา จะทำการจัดส่งทีมนักบินอวกาศครั้งแรกไปดาวอังครครั้งแรกในปี 2050
แต่หลังจาก 150 ปี ที่เราได้ย้ายถิ่นฐานไปดาวอังคารแล้ว แต่อาจต้องเผชิญหน้ากับพายุสุริยะ ซึ่งจะทำให้ไฟฟ้าและการสื่อสารทุกอย่างล้มเหลว และต้องใช้เวลาหลายปีในการซ่อมแซมทำให้ทั้งอาณานิคมต้องอยู่ในสภาพเงียบสงัด
ในศตวรรษที่ 23 สัตว์หลายชนิดจะสูญพันธ์ุ กว่า 1,000 สายพันธ์ุไม่ว่าจะเป็น า 1,000 กบ กิ้งก่า ซาลาแมนเดอร์และอีกมากมายจะหายไป เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดก็อยู่ในความเสี่ยง
ในช่วงระหว่างปี 2200 - 2300 ความเลวร้ายจะยิ่งรุนแรงขึ้น ธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์จะละลายและส่งผลในระดับน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 20 ฟุต
ในศตวรรษที่ 14 ธารน้ำแข็งThwaites ในแอนตาร์กติกา ก็ถึงจดจบเช่นกัน
สิ้นสุดศตวรรษที่ 25 ธารน้ำแข็งทางตะวันออกของแอนตาร์กติกจะละลายหายไปหมด
ขอบคุณที่มา Techinsider
เรียบเรียงโดย Boxza