ในที่สุดเราก็ได้ทราบผลคะแนนประชามติเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งฝ่ายสนับสนุนให้อังกฤษออกจากอียู ทำคะแนนทิ้งห่าง ฝ่ายที่สนับสนุนให้อยู่ต่อถึงกว่า 1 ล้านเสียง
(ขอบคุณภาพจาก BBC)
ซึ่งผลคะแนนออกมาเป็นไปอย่างสูสีมาก แต่อย่างไรก็ตามการทำประชามติครั้งนี้ส่งผลทำให้ค่าเงินปอนด์ ดิ่งลงกว่า 1.50 ดอลลาร์/ปอนด์ ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะลงอย่างต่อเนื่องและอาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเวลาต่อมาอย่างแน่อน มันคือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันหากอังกฤษออกอย่างเป็นทางการแล้ว
ตามรายงานของสำนักข่าว Manchestereveningnews อย่างแรกเลยที่รัฐบาลอังกฤษจำเป็นต้องทำคือการเริ่มกระบวนการทางกฏหมายที่ซับซ้อนสำหรับการนำประเทศออกจากสหภาพยุโรปซึ่งอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี นั้นหมายถึงการต้องอ้างถึงสนธิสัญญาลิสบอน ซึ่งเงื่อนไขข้อตกลงนั้นอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการเจรจาต่อรอง
ในระหว่างนั้นรัฐบาลและรัฐสภาอังกฤษจำเป็นต้องกำหนดสิ่งที่ควรลงมือทำนั้นหลังจากที่อังกฤษจากอียูแล้วนั้นคือการนำข้อตกลงการค้าระหว่างอียูกับประเทศอื่นๆมาทบทวนอย่างระเอียด และแน่นอนทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร ส่วนผลกระทบที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือระบบเศรษฐกิจและการเงิน
จากรายงานของสำนักข่าว Telegraph กล่าวว่า ประชาชนอังกฤษจะต้องเจอกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังต่างๆในยุโรปไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะเพิ่มสูงขึ้น 230 ปอนด์ หรือราว 12,000 บาท ยังรวมถึงค่าตั๋วเครื่องบินที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรี เดวิด แคเมอรอน
(ขอบคุณภาพจาก Alamy)
มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของประกันสุขภาพ โดยทาง The European Health Insurance Card (EHIC) อาจปรับเปลี่ยนสิทธิของพลเมืองสหราชอาณาจักรในการรักษาพยาบาลในประเทศต่างๆของยุโรป
อาจมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสินค้าปลอดภาษีอากร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวอังกฤษที่ต้องการซื้อสินค้าในอียูเข้ามาในอังกฤษ
ปัญหาผู้อพยพ อังกฤษไม่สามารถควบคุมการหลั่งใหลมาของกลุ่มผู้อพยพได้เมื่ออยู่ในอียู แต่หลังจากออกอียูอย่างเป็นทางการแล้ว อังกฤษมีอำนาจทุกอย่างที่จะควบคุมกลุ่มผู้อพยพในประเทศตัวเอง
อาชญากรรม การออกหมายจับอาชญากรในยุโรปที่อนุญาติให้อังกฤษสามารถออกนอกประเทศเพื่อควบคุมผู้กระทำผิดในศาลต่างประเทศจะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป
ทั้งนี้ยังมีอีกหลายภาคส่วนที่ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจ้างงาน การลงทุนผ่านภาษีนิติบุคคล รวมถึงเรื่องการทหารระหว่างอังกฤษและอียู ซึ่งทั้งหมดนี้เรายังต้องจับตามองกันต่อไป
ขอบคุณที่มา telegraph, manchestereveningnews, independent
เรียบเรียงโดย Boxza