ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตช็อคโกแลตรายใหญ่จำนวนมากให้คำมั่นสัญญาว่าจะหยุดการใช้แรงงานเด็กในอุตสหกรรมประเภทนี้ แต่ในปัจจุบันปัญหานี้กลับไม่ทุเลาลง
บริษัทผู้ผลิตช็อคโกแลตรายใหญ่ใช้เงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์เพื่อพยายามแก้ไขปัญหาแรงงานเด็ก แต่ในขณะที่ตัวเลขประมาณการล่าสุดกลับพบว่า จำนวนแรงงานเด็กในแอฟริกาตะวันตกมีสูงถึง 2.1 ล้านคน พวกเขาต้องเก็บเกี่ยวเมล็ดโกโก้ในสภาพที่อันตราย เนื่องจากต้องเผชิญกับแดดที่ร้อนจัด และต้องแบกที่บรรจุเมล็ดโกโก้จำนวนมาก
นับแต่เฉพาะสหรัฐอเมริกา ผู้บริโภคชาวอเมริกันใช้จ่ายเงินไปกับสินค้าช็อคโกแลตจากหลายแบรนด์ดังมากกว่าพันล้านดอลลาร์ในทุกเทศกาลฮาโลวีน นับเป็นรายได้จำนวนากถึง 10 เปอรเซ็นต์จากรายได้ทั้งปีของบริษัทผู้ผลิตช็อคโกแลต ชาวอเมริกันรายคนบริโภคช็อคโกแลตไปมากกว่า 11 ปอนด์ต่อปี ยิ่งเข้าชวงเทศกาลแห่งความสำราญของประเทศผู้เจริญ ความต้องการช็อคโกแลตยิ่งมากขึ้น นั้นหมายถึงตารางการทำงานของแรงเด็กในอีกฝากหนึ่งของโลกจะต้องเพิ่มมากขึ้น
กราฟฟิคภาพผลผลิตที่ได้จากแรงงานเด็กในแอฟริกาตะวันตก จะเห็นได้ว่า บริษัทผู้ผลิตช็อคโกแลตได้รับผลผลิตมากที่สุดจากเมืองอาบีจาน (เมืองหลวงเก่าของประเทศโกตดิวัวร์) จำนวน 1.98 ล้านตัน และยังได้อีกจากหลายพื้นที่ ซึ่งทวีปแอฟริกาสร้างผลผลิตจากช็อกโกแลตมากที่สุด คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของอุตสาหกรรมนี้ทั้งโลก
รายชื่อสินค้าช็อกโกแลตแบรนด์ดังที่เรานิยมบริโภคอยู่ในทุกวันนี้ ได้แก่ Hershey, Mars, Nestle, ADM Cocoa, Godiva, Fowler’s Chocolate และ Kraft ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกำไรจากการใช้แรงงานเด็กในแอฟริกาตะวันตก
ช่วงอายุแรงงานเด็กที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้อยู่ระหว่าง 11 -16 ปี แต่บางครั้งก็มีอายุน้อยกว่านั้น พวกเขาต้องทำงานอย่างหนักในฟาร์มที่ห่างจากตัวเมืองหลายร้อยไมล์ ทำงานตั้งแต่ 80 -100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ตัวเลขแรงงานเด็กในอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้นถึง 51 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2009 ถึงปี 2014 แต่ในเมื่อสินค้าประเภทนี้ยังคงมีความต้องการจากผู้บริโภค เห็นทีก็ตัวเลขแรงงานเด็กยังคงต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เรียบเรียงโดย Boxza