ไพบูลย์ เสนอให้ใช้การออกเสียงประชามติถามประชาชนทั้งประเทศ แทนการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ ชี้ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนสามารถดำเนินการได้ลุล่วง รัฐบาลจึงจะใช้มาตรการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาดห้ามชุมนุมการเมืองดังกล่าวเป็นระยะเวลา 2 ปีนับจากวันออกเสียงประชามติ
นาย ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะสมาชิกรัฐสภา กล่าวถึงกรณีที่ตนได้อภิปรายในที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ซึ่งตนได้เสนอให้ใช้การออกเสียงประชามติถามประชาชนทั้งประเทศ แทนการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ เพื่อเป็นทางออกในการการแก้ไขไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองขั้นรุนแรง
ทั้งนี้ตนเห็นว่าการยุบสภาจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจ และการยุบสภาไม่สามารถยุติความขัดแย้งจากการชุมนุมทางการเมืองได้ หากจะหาทางออกของประเทศให้ได้ผลต้องให้ประชาชน ซึ่งมีสิทธิ์ออกเสียงประชามติ 52 ล้านคนให้มีส่วนร่วมโดยตรงตัดสินปัญหาสำคัญของชาติในครั้งนี้ ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการจัดชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความสงบเรียบร้อยของสังคมไทย อีกทั้ง นายไพบูลย์ ยังได้เสนอให้ตั้งคำถามประชามติที่เป็นไปรัฐธรรมนูญมาตรา 166 ดังนี้
“ท่านเห็นอย่างไร หากรัฐบาลใช้มาตรการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาด ห้ามไม่ให้มีการจัดชุมนุมทางการเมืองที่ฝ่าฝืนกฎหมายชุมนุมสาธารณะ มีการกระทำก้าวล่วงรัฐธรรมนูญมาตรา 6 อันเป็นเหตุให้กระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และมีผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่มีผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะจากความขัดแย้งของคนในชาติ และให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนสามารถดำเนินการได้ลุล่วง รัฐบาลจึงจะใช้มาตรการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาดห้ามชุมนุมการเมืองดังกล่าวเป็นระยะเวลา 2 ปีนับจากวันออกเสียงประชามติ”นายไพบูลย์ กล่าว
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก EasyYukhon