สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ ออกมาโพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชี้แจงเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่คนไทยควรรู้
"ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ ทรัพย์สิน ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึง สถาบันฯ ที่ไม่ใช่ตัวบุคคล ที่ดำรงพระยศเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สิน ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ ต้นราชวงศ์จักรี พูดง่ายๆ ก็คือเป็นสมบัติของชาติชนิดหนึ่ง หมายถึงเป็นสมบัติของ สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีมาตั้งแต่เริ่มตั้ง ราชวงศ์จักรี สืบทอดเรื่อยมา
ต่อมา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทรัพย์สินส่วนนี้ จึงตกเป็นของแผ่นดิน แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติ์ ราชวงศ์จักรี ซึ่งเป็นเจ้าของเดิม จึงตั้งชื่อเป็น “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ขึ้น ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ กระทรวงการคลัง อีกที
ส่วน “พระมหากษัตริย์” ก็ได้รับพระเกียรติ์ ให้ทรงสามารถแต่งตั้ง คณะกรรมการ ไปช่วยดูแลการทำงานได้ 4 คน โดยมี รมต.กระทรวงการคลัง เป็นประธาน และมีผู้อำนวยการ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นผู้บริหาร แต่ทั้งหมดนี้ ต้องนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของชาติ และประชาชนเท่านั้น
“สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ไม่ได้นำ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไปใช้ในเรื่องส่วนพระองค์ของ “พระมหากษัตริย์” เลย แต่นำไปใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชน และสังคมทั้งหมด
แต่ถ้าสำนักงานทรัพย์สินฯ อยากจะบริจาคเงิน ให้มูลนิธิต่างๆ ของในหลวง ก็ย่อมทำได้ และตามกฎหมาย “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” เป็น “ทรัพย์สินของแผ่นดิน” จึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ส่วน เงินปันผล ที่ได้จากการถือ หุ้นบริษัทต่างๆ ก็มีการหักภาษี ณ. ที่จ่ายตามปกติ (ข้อมูลทั้งหมด จากเว็บ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” และสามารถติดตามการทำงานต่างๆ ของสำนักงานฯ ได้เช่นกัน)
ส่วนรายได้ของ “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ก็จะนำไปลงทุนในกิจการต่างๆ เพื่อออกดอกผล แต่ทั้งหมด เมื่อได้มาก็เพื่อนำไปส่งเสริมกิจกรรม ที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมต่อไป
แต่จะมีเงินส่วนหนึ่ง ที่จะถวายให้ ในหลวง ในแต่ละปี เพื่อไปใช้ตาม พระราชอัธยาศัย บ้างตามสมควร (ก็อาจถือว่าเป็น เงินเดือน โดยตำแหน่งก็ได้ เราต้องไม่ลืมนะครับว่า เดิมทรัพย์สินตรงนี้ เดิมเป็นของ ราชวงศ์จักรี มาก่อน พอเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ไปขอของๆ พระองค์ ให้มาเป็นสมบัติชาติ )
Cr.บทความโดย อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
Series 1
#NNT
#สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์"
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์