วันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567
SHARE

เพื่อไทย ชี้ “ประยุทธ์” คือภัยคุกคามทางเศรษฐกิจที่แท้จริง

โพสต์โดย ปลายหอก เมื่อ 2 สิงหาคม 2565 - 11:25

คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย

แถลงข่าว “ภัยคุกคามทางเศรษฐกิจไทย”

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 เวลา 10:00 น

พิชัย นริพทะพันธุ์

รองประธานยุทธศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจ

“ภัยคุกคามทางเศรษฐกิจไทย”

จักรพล ตั้งสุทธิธรรม

สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดเชียงใหม่ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย

“รับมือเศรษฐกิจไทยโดยระเบียงเศรษฐกิจ”

อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด

กรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง

“จะแก้บัตรเลือกตั้งอย่างไร ก็ขึ้นอยู่ที่เสียงประชาชน”

“พิชัย” ชี้ “ประยุทธ์” คือภัยคุกคามทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ติง ผู้นำขาดความรู้ที่จะรับมือเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ต้องถูกด่าถึงแก้ไข แนะ เร่งเปลี่ยนผู้นำก่อนเศรษฐกิจไทยจะทรุดหนัก

นายพิช้ย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ธนาคารกลางของสหรัฐประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐห่างกับอัตราดอกเบี้ยของไทยค่อนข้างมาก ซึ่งจะเป็นผลกระทบกดดันกับเศรษฐกิจไทยอย่างมาก นอกจากนี้ผลการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐและความพยายามที่จะคุมเงินเฟ้อทำให้เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสสองติดลบ 0.9% ซึ่งเป็นการติดลบเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันหลังจากไตรมาสแรกติดลบแล้ว - 1.6% โดยทางเทคนิคแล้วเศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแลัว แต่สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐยังเข้มแข็งอยู่และต้องจับตาดูว่าเงินเฟ้อในสหรัฐจะลดลงไหม ถ้ายังไม่ลดก็มีโอกาสที่สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยอีก ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้จะช้าจะเร็วโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยก็เป็นไปได้มาก และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก อีกทั้งเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ก็ย่ำแย่ขยายตัวได้เพียง 0.4% เท่านั้น และเศรษฐกิจอียูก็ยังแย่จากสงครามรัสเซียยูเครน ดังนั้น เศรษฐกิจสหรัฐ จีน และ อียู ที่ย่ำแย่จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก และ จะส่งผลถึงเศรษฐกิจไทยที่กำลังย่ำแย่อยู่แล้วด้วย

ในขณะที่ประเทศไทย ในเดือนสิงหาคมนี้ ค่าก๊าซหุงต้มได้ขึ้นเป็น 393 บาท / ถัง 15 กก. ซึ่งหนักมาก ค่าการตลาดน้ำมันก็ได้ปรับลดลงตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้ทักท้วง และจะขึ้นค่าไฟฟ้าถึงหน่วยละ 4.72 บาทในงวดเดือนกันยายน ซึ่งก็ยังสูงมาก และหากคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยไม่ทักท้วงไว้ น่าจะขึ้นทะลุไปหน่วยละ 5 บาท หรือ 6 บาทกว่าแล้ว แต่ถึงแม้จะขึ้นน้อยลงในตอนนี้ แต่กำลังรอเวลาจะขึ้นราคาอีกครั้งในไม่ช้า ซึ่งจะสร้างภาระให้ประชาชนและภาคธุรกิจอย่างมาก พิสูจน์แล้วว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ถูกด่าไม่ยอมแก้ไข นอกจากนี้ การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐจะกดดันให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องขึ้นดอกเบี้ยในไม่ช้านี้ ซึ่งจะเพิ่มภาระให้กับประชาชนอย่างมาก ทั้งค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน และ หนี้สินต่างๆ รวมถึงหนี้ธุรกิจ ที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้พิจารณาอย่างรอบคอบในระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมเพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวต่อได้ และ เงินทุนไม่ไหลออกเพราะตั้งแต่ต้นปีเงินทุนสำรองลดลง 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว ลดลงต่ำกว่า 220,000 ล้านเหรียญครั้งแรกในรอบ 3 ปี ค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลง และถึงแม้ไทยจะส่งออกได้มาก 6 เดือนแรกขยายตัวได้ 12.7% แต่นำเข้าขยายตัวมากกว่า ทำให้ไทยขาดดุลการค้าอย่างมาก 6 เดือนที่ผ่านมาไทยขาดดุลการค้าแล้วกว่า 6.25 พันล้านเหรียญ ซึ่งหากการท่องเที่ยวไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร ประเทศไทยจะเกิดการขาดดุลแฝด (Twin Defiicits) คือ ขาดดุลทางการคลัง และ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดพร้อมกัน ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลกและไทยเองจะต้องระวังอย่างมาก ข้อมูลของผู้ว่าการ ธปท. ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญและคำอธิบายหลายเรื่อง ของผู้ว่าการ ธปท. ก็ยังคลุมเครือ

ดังนั้น ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่จะถดถอย และ ปัญหาดอกเบี้ยขาขึ้น ปัญหาราคาพลังงานที่พุ่งสูง ปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาเหล่านี้จะซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจไทยที่มีอยู่แล้ว เช่น ปัญหาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำและเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเท่าเดิม ปัญหาประเทศหนี้ล้นประชาชนหนี้ท่วม ปัญหาความสามารถถแข่งขันที่ลดลงอย่างมาก ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่พัฒนา ปัญหาอุตสาหกรรมที่ล้าสมัย ทั้งหมดนี้เกิดมาจากการบริหารประเทศที่ผิดพลาด และขาดความรู้ความสามารถของพลเอกประยุทธ์ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา โดยพลเอกประยุทธ์เพิ่งจะมารู้ตัวถึงได้ออกยุทธศาสตร์ 3 แกน แต่สถานการณ์น่าจะเลวร้ายเกินเยียวยาแล้ว ความเชื่อมั่นของผู้นำไม่เหลือแล้ว สังเกตได้ว่ารัฐมนตรีที่ร่วมบริหารกับพลเอกประยุทธ์พอออกไปแล้วก็จะตำหนิความด้อยความสามารถของพลเอกประยุทธ์กันทุกคน ตั้งแต่ ม.ร.ว ปรีดิยาธร เทวกุล นายสมหมาย ภาษี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ พวก เป็นต้น ซึ่งเชื่อได้ว่าเมื่อนายอาคม และ นายสุพัฒนพงษ์ ออกไปก็อาจจะตำหนิพลเอกประยุทธ์เช่นกัน ในความล้มเหลว เพราะคงไม่มีใครอยากยอมรับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดของตัวเอง

แม้กระทั่งปัจจุบันพลเอกประยุทธ์ยังคิดได้เพียงโครงการคนละครึ่ง แถมให้เพียง 800 บาท โดยบอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายอาคมเพิ่งจะบอกว่ารัฐบาลต้องเลิกแจกเงินและหันมาฟื้นฟูเศรษฐกิจได้แล้ว แต่พลเอกประยุทธ์คงไม่เข้าใจ คิดเป็นแต่แจกเงินอย่างเดียวเท่านั้น

จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าประเทศไทยกำลังจะเผชิญภัยคุกคามทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในหลายด้าน โดยที่ผู้นำไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ดังนั้น ภัยคุกคามทางเศรษฐกิจของไทยที่หนักที่สุดคือตัวพลเอกประยุทธ์เอง เพราะเป็นสาเหตุหลักของประเทศที่เสื่อมถอย อีกทั้งยังจะพยายามที่จะรักษาอำนาจในทุกวิถีทาง และพยายามแก้กติกากลับไปกลับมากลัวแพ้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าไม่ว่าจะเลือกกติกาไหน ประชาชนก็จะไม่เลือกผู้นำที่บริหารล้มเหลวอีกต่อไปแล้ว และน่าจะต้องสำนึกตัวเองได้แล้ว อีกทั้งครบ 8 ปีแล้วตามกำหนดรัฐธรรมนูญอย่าพยายามดันทุรังอีกเลย และนักวิชาการได้ออกมาเรียกร้องแล้ว

“เพื่อไทย” ติง “ประยุทธ์” แผนท่องเที่ยวมีช่องโหว่ แนะ 3 แนวทางพัฒนาท่องเที่ยว และ ระเบียงเศรษฐกิจ

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดเชียงใหม่ รองเลขาธิการ และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ทำแผนการตลาดปี 2566 พร้อมเตรียมผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย 4 กลยุทธ์ และตั้งเป้าว่าจะดันรายได้การท่องเที่ยวปี 2566 รวม 2.38 ล้านล้านบาท นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยได้มองเห็นช่องโหว่ของกลยุทธ์ดังกล่าว

นายจักรพล กล่าวว่า ช่องโหว่ที่พบมีทั้งหมด 3 ช่องโหว่ดังนี้ ช่องโหว่ที่ 1 คือ แผนการดำเนินการที่ไม่ชัด เห็นได้ว่ากลยุทธ์ทั้ง 4 ตัวนั้นขาดการวางแผนการดำเนินการที่ไม่รัดกุมและไม่รอบคอบ เช่น กลยุทธ์สร้างประสบการณ์การเดินทางที่มีความหมายและทรงคุณค่าให้กับนักท่องเที่ยว (Meaningful Travel) ทางรัฐบาลจะสร้างประสบการณ์นี้ได้อย่างไร? ในเมื่อรัฐบาลยังตัดสินใจผิดพลาดในหลายๆเรื่องและหลายๆครั้ง และรัฐมักปล่อยให้ภาคเอกชนต้องเดินฝ่าอุปสรรคด้วยตนเองตลอดมา ช่องโหว่ที่ 2 คือ รัฐอาจจะแพ้ภัยตัวเอง จากผลการจัดอันดับพบว่า กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ประเทศไทย ติด 10 อันดับประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในฤดูร้อนประจำ ปี 2565  แต่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลทำผิดพลาดหลายครั้งทำให้เกิดการระบาดของโควิดมากกว่า 5 ระลอก และการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าทำให้ประเทศต้องฟื้นตัวช้ากว่ากำหนด และหากรัฐบาลยังหลงตัวเองคิดว่าตัวเองยังอยู่หัวคะแนนของตารางการท่องเที่ยวอยู่แบบนี้ ยิ่งทำให้รัฐบาลเพิกเฉยต่อธุรกิจการท่องเที่ยวไทยหรือไม่ และการแพ้ภัยตัวเองนี้อาจจะนำไปสู่พิษเศรษฐกิจทางการท่องเที่ยวของไทยได้ และช่องโหว่ที่ 3 คือ บาดแผลทางเศรษฐกิจที่ไม่เคยหายไป จากที่นายจักรพลได้มีส่วนร่วมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมเสนอบาดแผลทั้ง 5 ประกอบด้วย (1) การว่างงานในระยะยาวอาจปรับตัวสูงสุดแตะได้ถึง 1.7 แสนคน (2) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีการปรับตัวลดลง (3) ดัชนีความสุขของคนในประเทศไทยลดลงจากอันดับจากที่ 34 ให้ลงมาถึงอันดับที่ 46  (4) จำนวนนักท่องเที่ยว ในปี 65 อาจจะหายไปถึง 33 ล้านคนเมื่อเทียบกับปี 63 และ (5) บาดแผลที่ 5 รายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่หายไปไปมากกว่า 3.5 ล้านล้านบาท และรัฐบาลยังสร้างบาดแผลเพิ่มจากแผนและกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่เพ้อฝันอีก เป็นการทำลายฝันของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างสมบูรณ์แบบ

ทั้งนี้ นายจักรพล ยังได้เสนอ 3 กลไกที่จะถูกผลักดันโดยเครื่องยนตร์ตัวที่ 5 คือ เครื่องยนต์ทางดิจิทัล ดังนี้ กลไกที่ 1 พัฒนากรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion Economic Cooperation: GMS) ด้วยการผลักดันสินค้า Soft power ไทยที่โดดเด่น เช่น เช่น เนื้อสัตว์แช่แข็ง ยางพารา ผลไม้สด ผลไม้แปรรูป เป็นต้น ผ่าน Platform และ E - Commerce ในความร่วมมือระหว่างประเทศ สนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารด้วย Covid Safety Food ผลักดันการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาทิ การท่องเที่ยว ๕ เชียง การท่องเที่ยวถนน R3A R3B ทางอากาศ ทางรางและทางเรือ พร้อมยกระดับ Logistics เพื่อสนับสนุน Supply Chain ทางอาหารและอื่นๆอย่างเป็นระบบ และรีบดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม กลไกที่ 2 กรอบความร่วมมือแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT : Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle) ด้วยการผลักดัน Supply Chain ทั้ง 6 เส้นทาง (EC1-EC6) โดยชูจุดเด่นของสินค้าไทย เช่น ยางพารา อาหารทะเล ไม้ยางแปรรูป ปาล์มน้ำมัน อาหารทะเลแปรรูป และผลิตภัณฑ์ฮาลาลไทย พร้อมทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม และมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น ชิโนโปรตุกีส นายจักรพลยังกล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมสนับสนุน Digital Platform ที่ทำให้ ผู้ประกอบการไทยและภาครัฐไทยพร้อมก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างจริง โดยมีกองทุนพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นกองทุนที่เข้าถึงง่าย ดอกเบี้ยต่ำ และยืดหยุ่นสูง กลไกที่ 3 การเพิ่มขีดจำกัดของการแข่งขันในพื้นที่ ประกอบด้วย 1) การกำหนดสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน 2) การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนและนวัตกรรมสาหรับผู้ประกอบกิจการทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น SMEs และ Micro SMEs รวมถึงธุรกิจ Startup และ 3) การสนับสนุนการลงทุน ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่นำร่องการพัฒนากับโครงข่าย หลักโดยรอบเพื่อดึงดูดให้เกิดการลงทุน โดยเน้นการใช้และเชื่อมโยงด้วยเทคโนโลยีแบบใหม่ เพื่อเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนกลไกที่ 1 และ 2 หากได้ดำเนินนโยบายดังกล่าวเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวและการส่งออกในเขตเศรษฐกิจซึ่งนำไปสู่รายได้ในพื้นที่ขั้นต่ำ 23 ล้านล้านบาท

นายจักรพลยังกล่าวอีกว่า “นี่คือกรอบวิสัยทัศน์ของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยในอนาคต ที่จะไม่ได้พึ่งพาแต่นักท่องเที่ยวแดนไกลแต่จะเป็นการพึ่งพาตัวเองและศักยภาพของเพื่อนบ้านที่พร้อมพัฒนาไปด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลไม่เคยให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ และยังสร้างความล้มเหลวด้วยการตัดสินใจที่ไม่มีข้อมูลนำไปสู่ความผิดพลาด และไร้ซึ่งจริยธรรมในการบริหารประเทศ ในฐานะที่ตนเป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาระเบียงเศรษฐกิจที่ได้ศึกษาและดูงานทั้งหมด ได้เห็นโอกาสที่หลุดลอย ถูกทำให้เคว้งคว้าง ไร้จุดหมาย และแผนการที่ดำเนินการอยู่ก็ดูยากที่จะไปถึง ทั้งหมดนี้ไม่ควรเป็นคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและคนทั้งประเทศ แต่ก็เป็นข่าวดีของประเทศไทยเพราะเวลาที่ตกต่ำที่สุดของประเทศไทยใกล้จบลงแล้ว พรรคเพื่อไทยพร้อมนำประเทศไทยกลับมาสู่ยุคแห่งความรุ่งเรืองของประเทศอีกครั้ง ได้เวลานับถอยหลังของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาแล้ว”

อนุสรณ์ ชี้ จะแก้บัตรเลือกตั้งอย่างไร ก็ขึ้นอยู่ที่เสียงประชาชน

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่จะมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อกลับไปใช้ระบบบัตรเลือกตั้งแบบใบเดียว ว่า บางครั้งในทางการเมือง ข่าวลือ อาจเป็นข่าวจริงที่มาก่อนเวลาอันควร 3 ป.ปิดห้องคุยเมื่อไหร่ เป็นเรื่องทุกครั้ง แม้ระหว่างนี้พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะออกอาการเขินๆ กับบัตรเขย่ง เกรงกระแสตีกลับ หากต้องแก้รัฐธรรมนูญกลับไปสู่จุดเดิม แต่ในทางปฏิบัติ พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคพร้อมเอาด้วยกับ 3 ป. อภินิหารทางกฎหมายอาจเกิดขึ้นได้อีก แนวทางที่ตรงไปตรงมาคือบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ หาร 100 เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ ประชาชนมีทางเลือก ก่อนหน้านี้ทุกพรรคก็เห็นชอบกับแนวทางนี้ การพลิกกลับไปกลับมา กลับลำอยู่หลายตลบเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการสืบทอดอำนาจ ทำภาพลักษณ์สภาเสียหาย ทำแบบนี้ยิ่งกว่าครอบงำ แทรกแซง เพราะสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันได้ตามใจ3ป.เลย ผลการเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องที่จะไปเทียบบัญญัติไตรยางค์ ถ้าบัตร 2 ใบหาร 500 จะสกัด ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยได้ประมาณ 25-30 คน ถ้าใช้บัตรใบเดียว นอกจากจะสกัด ส.ส.บัญชีรายชื่อได้เพิ่มขึ้น ก็จะสกัด ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทยได้อีกประมาณ 15 คน เท่ากับบัตรเลือกตั้งใบเดียว พรรคเพื่อไทยจะถูกสกัด 40-50 ส.ส. ความกลัวทำให้เสื่อม ยิ่งพูด ยิ่งตีแผ่ประจานตัวเองว่ากลัวมากแค่ไหน การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ หรือใบเดียว จะหาร 500 หรือ หาร 100 ถ้าประชาชนไม่เลือก ก็จบ รูดม่านปิดฉากระบอบสืบทอดอำนาจ

“8 ปีประยุทธ์ ไม่ได้มีเฉพาะ 99 ปัญญาชนและพลเมืองไทยที่ออกมาไล่ แต่มีเครือข่ายแม่น้ำร้อยสายลุกขึ้นมาไล่ประยุทธ์ทั้งประเทศ ไหนบอกว่าเราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน 8 ปีที่ทู่ซี้อยู่ ยังวิกฤตหนักขนาดนี้ ใครจะไปเชื่อว่าเวลา 2 ปี ที่ขอเพิ่ม จะทำอะไรได้” นายอนุสรณ์ กล่าว



แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook

บริการของเรา

Advertising

พื้นที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ สินค้าและบริการ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Web Design

ออกแบบเว็บไซต์ ครบจบในที่เดียว ทั้ง FrontEnd และ BackEnd ด้วยทีมงานมืออาชีพ ประสบการณ์กว่า 15 ปี

Web Application

ไม่ว่าจะธุรกิจใดให้ระบบช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน จากรูปแบบเดิมๆ ให้อยู่ในรูปแบบ Online

VDO Creator

บริการออกแบบ และ จัดทำ Presentation ShowCase Review สินค้า TVC หรือ Viral Clip

เราใช้คุ้กกี้เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy)
About Us | Advertising
Join With Us | Contact
Privacy Policy | Terms of Service
Corrections Policy | DMCA Copyrights Disclaimer
Ethics Policy | Fact-Checking Policy
Editorial team information | Ownership and Funding Info
ติดต่อลงโฆษณา: 0880-900-800, อีเมล์: ads@jarm.com
แนะนำติชม/ฝากข่าวประชาสัมพันธ์: info@jarm.com