เมื่อคนไทยตายมากกว่าเกิด
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุ ว่า ระหว่างปี 2506–2526 ประเทศไทยเคยมีเด็กเกิดใหม่เกิน 1 ล้านคนต่อปี แต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดลดลงต่อเนื่องจนถึ งปี 2567 ตัวเลขเด็กเกิดใหม่เหลือเพียง 462,240 คน ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี ขณะที่ผู้เสียชีวิตมีมากถึง 571,646 คน หรือ “ตายมากกว่าเกิด” ต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ ข้อมูลนี้สอดคล้องกั บกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ว่า ปี 2566 ประเทศไทยมีประชากรรวมราว 66 ล้านคน แต่แนวโน้มในอนาคตอาจลดลงถึงครึ่ งหนึ่งเหลือเพียง 33 ล้านคนในอีก 60 ปี ขณะที่สถาบันวิจัยประชากรและสั งคม มหาวิทยาลัยมหิดล คาดว่าในปี พ.ศ. 2643 ไทยอาจเหลือประชากรเพียง ราว 29 ล้านคน เท่านั้น

ดังนั้นการ “ตายมากกว่าเกิด” ไม่ได้เป็นเพียงสั ญญาณทางประชากร แต่กำลังเร่งให้ประเทศไทยเข้าสู่ สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยปัจจุบันผู้สูงอายุมีสัดส่ วนเกิน 20% ของประชากรแล้ว และอีกไม่ถึง 10 ปี สัดส่วนนี้จะทะลุ 28% จนกลายเป็น สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) อย่างเต็มรูปแบบ ผลลัพธ์คือภาระการพึ่งพิงที่ กดทับทุกครอบครัว แรงงาน และรัฐ ทำให้โจทย์เรื่องคุณภาพชีวิตผู้ สูงอายุ กลายเป็นวาระเร่งด่วนของสั งคมไทย

“เกษียณ” ในวันที่คนไทยมีอายุยืนยาว
คำว่า “เกษียณ” ถูกผูกติดกับวัย 60 มานาน แต่ในความเป็นจริงวันนี้ ภาพของการเกษียณที่ควรจะเป็น “รางวัลชีวิต” กลับห่างไกลจากความจริงมากขึ้ นทุกที จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ กว่า 14.03 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งสะท้อนความสำเร็จด้ านสาธารณสุขและการแพทย์ที่ทำให้ คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้นอย่างต่ อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม คุณภาพชีวิตหลังวัย 60 กลับเต็มไปด้วยข้อจำกัดสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่อง แหล่งรายได้หลัก ของผู้สูงอายุ ที่การสำรวจพบว่า 35.7% ต้องพึ่งพิงบุตร และ เพียง 13.3% เท่านั้นที่มีรายได้จากเบี้ยยั งชีพหรือบำนาญภาครัฐ ขณะที่สัดส่วนจากการทำงานเองแม้ จะยังสูง 33.9% แต่ก็สะท้อนว่า “การเกษียณ” ในความหมายของการหยุดทำงานจริง ๆ อาจจะยังไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้สู งวัยส่วนใหญ่
ทั้งหมดนี้ทำให้คำว่า “เกษียณ” ไม่ได้เป็นรางวัลชีวิต หรือ การมีชีวิตที่เป็นอิสระในแบบที่ ฝันไว้ แต่กลับกลายเป็นภาวะที่ผู้สู งอายุจำนวนมากยังต้องพึ่งพิงลู กหลาน หรือฝืนทำงานต่อเพื่อความอยู่ รอด ดังนั้น “อายุยืน” จึงไม่อาจตีความได้ตรงไปตรงมาว่ าเป็น “ชีวิตที่ดี” หากยังขาดอิสระในการเลือกเส้ นทางชีวิตของตนเอง
4 อินไซต์ที่ฉุดรั้งความเป็นอิ สระของสังคม(สูงวัย)ไทย
1.สุขภาพที่เปราะบาง
กว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุไทยหกล้มทุกปี และเฉพาะในปี 2567 มีผู้สูงอายุ กว่า 165,000 คน ต้องเข้ารับการรั กษาในโรงพยาบาลจากการพลัดตกหกล้ ม โดยมากกว่า 40,000 ราย บาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นกระดู กสะโพกหัก และกว่า 17% ของผู้ที่สะโพกหักเสียชีวิ ตภายในหนึ่งปี
ข้อมูลในปี 2566 ยังพบว่า ผู้สูงอายุเสียชีวิตจากการพลั ดตกหกล้ม 11.48 รายต่อประชากรแสนคน ทำให้ “การหกล้ม” กลายเป็น สาเหตุการเสียชีวิตอันดั บสองของผู้สูงอายุในกลุ่ มการบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ รองจากอุบัติเหตุทางถนน
ปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงวัยหกล้มง่ ายขึ้น ส่วนหนึ่งมาจาก โรคประจำตัว ซึ่งกรมควบคุมโรคระบุว่าเป็นปั จจัยเสี่ยงสำคัญอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้ยาหลายชนิ ด ทั้งผลข้างเคียงจากตั วยาและการใช้ยาร่วมกันยังเพิ่ มโอกาสการเสียสมดุลการทรงตัว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านร่ างกายอื่น ๆ เช่น การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อและระบบการเคลื่ อนไหวไม่แข็งแรง ภาวะขาดสารอาหาร การรับรู้ประสาทสัมผัสที่บกพร่ อง รวมถึงการบาดเจ็บของเท้า
ด้านสภาพแวดล้อมก็เป็นอีกตั วแปรสำคัญ กรมควบคุมโรคพบว่า ผู้สูงอายุไทยกว่า 80% อาศัยอยู่ในบ้านที่ไม่ปลอดภัย และมากถึง 30% ของการหกล้มเกิดขึ้นในห้องน้ำ จากพื้นลื่น ไม่มีราวจับ หรือแสงสว่างไม่เพียงพอ รวมถึงการสวมรองเท้าที่ไม่ เหมาะสม ล้วนทำให้ความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้ น
2.การเงินที่ไม่มั่นคง
แม้อายุงานโดยปกติจะสิ้นสุดที่ 60 ปี แต่จากการสำรวจปี 2567 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ผู้สูงอายุไทยกว่า 5.26 ล้านคน หรือ 37.2% ยังคงต้องทำงานต่อไป โดยมากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 55.4% ทำงานในภาคเกษตรและประมง รองลงมาคือการค้าขายและบริ การรายย่อย 20.4% ซึ่งสะท้อนชัดว่าผู้สูงอายุ จำนวนมากยังคงเป็นแรงงานหลั กในครัวเรือน
สำหรับผู้สูงอายุที่เป็นลูกจ้าง ค่าจ้างเฉลี่ยอยู่ที่ 13,339 บาทต่อเดือน และหากเป็นแรงงานในภาคเกษตร รายได้เฉลี่ยจะต่ำลงเพียง 6,826 บาทต่อเดือน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สูงอายุที่ยังทำงานกว่า 86.9% อยู่ในแรงงานนอกระบบ ซึ่งหมายความว่าไร้สวัสดิ การประกันสังคมหรือบำนาญรองรั บอย่างเป็นระบบ
เมื่อมองที่แหล่งรายได้หลั กของผู้สูงอายุ พบว่า 35.7% ต้องพึ่งพิงบุตร ขณะที่ 33.9% ต้องพึ่งการทำงานของตนเอง ส่วนเบี้ยยังชีพและบำนาญรวมกั นมีไม่ถึง 20% ของรายได้ทั้งหมด ตัวเลขนี้สะท้อนว่า “ความมั่นคงทางการเงินในวัยเกษี ยณ” ยังเป็นเพียงภาพฝันสำหรับผู้สู งอายุส่วนใหญ่ในสังคมไทย และการทำงานหลังวัยเกษียณไม่ใช่ ทางเลือกเพื่อเติมเต็มชีวิต แต่คือภาระที่ผู้สูงวัยต้ องแบกรับเพื่อความอยู่รอด
3. ความโดดเดี่ยวและจิตใจ
12.9% ของผู้สูงอายุไทยอาศัยอยู่เพี ยงลำพัง เพิ่มขึ้นจาก 7.8% ในปี 2563 ตัวเลขนี้ดูเหมือนเล็ก แต่เมื่อเทียบกับประชากรสูงวั ยทั้งประเทศกว่า 14 ล้านคน หมายถึง ผู้สูงอายุกว่า 1.7 ล้านคน*ต้องอยู่ตามลำพัง ในทุกๆ วัน
การอยู่คนเดียวในวัยสูงอายุไม่ ได้หมายถึงอิสระเสมอไป หากแต่คือความเปราะบางเงียบ ๆ ที่ทำให้ผู้สูงวัยเสี่ยงต่ อการหกล้มในบ้านโดยไม่มีใครช่ วยเหลือทันที เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยโดยไม่มีผู้ ดูแล และเผชิญความเหงาที่ค่อยๆ กัดกินใจจนพัฒนาไปสู่ภาวะซึ มเศร้าโดยไม่รู้ตัว
นี่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ จะเพิ่มต้นทุนการดูแลสุ ขภาพและภาระให้กับสั งคมไทยในระยะยาว เพราะ “บ้าน” ที่ควรเป็นที่พึ่ง กลับกลายเป็นที่ที่ทำให้ผู้สู งอายุจำนวนมากถูกผลักเข้าสู่กลุ่ มเปราะบางโดยไม่ทันตั้งตัว
4. ดิจิทัลที่ไม่เท่ากัน
จากรายงาน*พบว่า 59.9% ของผู้สูงอายุไทยใช้อินเทอร์เน็ ต โดยสมาร์ทโฟนคืออุปกรณ์หลัก แต่ “ช่องว่างทางดิจิทัล” ยังคงปรากฏชัด โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 70 ปีขึ้นไปที่การเข้าถึงลดลงอย่ างมาก จาก 81% ในกลุ่มวัย 60-64 ปี เหลือเพียง 21% ในกลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป
แม้จะมีผู้สูงอายุราว 2.4 ล้านคนที่ทำธุรกรรมการเงิ นออนไลน์ แต่รูปแบบการใช้งานกลับกระจุ กอยู่กับกิจกรรมพื้นฐาน เช่น โอนเงิน 92.2%, สแกน QR จ่ายค่าสินค้า 91.3%, หรือ ชำระบิลออนไลน์ 68.6% ขณะที่กิจกรรมที่สะท้อน “ความมั่นคงในอนาคต” กลับมีจำนวนน้อย หรือเพียง 4.1% ที่ลงทุนออนไลน์ และ 2.1% ที่ทำประกันออนไลน์ ตัวเลขนี้สะท้อนว่าผู้สูงอายุส่ วนใหญ่ยังถูกจำกัดให้ใช้ เทคโนโลยีเพียงเพื่ อความสะดวกในชีวิตประจำวัน มากกว่าการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในเศรษฐกิจดิจิทัล
สอดคล้องกับข้อมูลการใช้ งานโซเชียลมีเดียที่ยังจำกัดอยู่ ในไม่กี่มิติ โดย 97.4% ใช้เพื่อติดต่อสื่อสาร, 64.3% รับข่าวสาร, 32.7% ซื้อของออนไลน์ แต่มีเพียง 2.4% เท่านั้นที่ใช้เพื่อสร้างอาชีพ ขณะที่ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยยั งต้องพึ่งพิงรายได้จากบุ ตรหลานหรือการทำงานต่อหลังวั ยเกษียณ สุดท้าย “ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล” จึงไม่ใช่แค่ปัญหาการเข้าถึงอิ นเทอร์เน็ต แต่คือการถูกกีดกั นออกจากโอกาสทางดิจิทัลใหม่ ๆ ที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และทำให้ “ชีวิตที่เป็นอิสระ” กลายเป็นสิทธิของคนบางกลุ่ม ไม่ใช่ของผู้สูงอายุทุกคน
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า สังคมสูงวัยไทยยังถูกฉุดรั้งไม่ ให้ก้าวไปสู่การมีชีวิตที่เป็ นอิสระได้จริง อีกทั้ง ปัญหาของผู้สูงวัย ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของผู้สู งวัยเท่านั้น แต่กำลังกลายเป็นแรงกดทับที่ซ้ อนทับกันเป็นลูกโซ่ ทั้งระดับครอบครัว ระดับแรงงาน และระดับประเทศ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ จะช่วยปลดล็อกชีวิตจากพั นธนาการเหล่านี้ ไม่ใช่เฉพาะเพื่อผู้สูงวัย แต่เพื่อทุกเจนเนอเรชันที่ อยากเลือกเส้นทางชีวิ ตของตนเองได้อย่างอิสระ
ดังนั้น เราจึงต้องการ เครื่องมือที่จะช่วยปลดล็อกชีวิ ตไปสู่ความเป็นอิสระจริง ๆ เครื่องมือเหล่านี้ไม่ใช่เรื่ องไกลตัว แต่คือความรู้และทักษะที่ทุกคน ทุกวัย ต้องมี เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ Next Chapter ของชีวิตได้ทุกเมื่อ
5 มิติสำคัญในการปลดล็อกชีวิตที่ เป็นอิสระ
ด้านการเงิน (Wealth+) วางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด ปลดภาระหนี้สิน สร้างความมั่นคงระยะยาว ด้านสุขภาพ (Health+) บาลานซ์สุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการกิน การออกกำลังกาย พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของร่ างกายในทุกช่วงวัย ด้านจิตใจ (Mind+) ยกระดับสุขภาพจิตใจ สร้างสมดุลชีวิต ดูแลความสัมพันธ์ และความสุขที่ยั่งยืน ด้านไลฟ์สไตล์ (Living+) ปรับไลฟ์สไตล์และที่อยู่อาศัย เปิดมุมมองชีวิตใหม่ เพิ่มคุณภาพชีวิตในทุกมิติ และการเป็น Active citizen และด้านเทคโนโลยี (Digital+) ก้าวทันเทคโนโลยี พัฒนาตนเองสู่การเป็นพลเมืองยุ คดิจิทัล ใช้นวัตกรรมอย่ างชาญฉลาดและปลอดภัย

นี่คือที่มาของ Life Fest 40+ : รู้ก่อน ดีกว่า เทศกาลแห่งการเรียนรู้และสร้ างแรงบันดาลใจ ที่รวม How-to ที่จับต้องได้ เพื่อปลดล็อกพันธนาการสู่ชีวิ ตที่เป็นอิสระในแบบที่ เราสามารถเลือกได้ ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น
● เวทีเสวนา รู้ก่อนยังทัน รวมวิทยากรชื่อดังและครีเอเตอร์ กว่า 50 คน ตั้งแต่นิ้วกลม, โตมร ศุขปรีชา ไปจนถึง Money Coach
● Piano & Talk Concert โดย โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ถ่ายทอดบทเพลงและแรงบันดาลใจที่ ชวนมองชีวิตในมุมใหม่
● บูทสินค้าและบริการ ตอบโจทย์ที่ตอบโจทย์ชีวิตทั้ง 5 ด้าน
● ร้านอาหารเปลี่ยนชีวิต ที่สอนให้กินดีได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพระยะยาว
● Life Exhibition พื้นที่ทดลองเรียนรู้และเปลี่ ยนแปลงตัวเอง
Life Fest 40+ รู้ก่อน ดีกว่า ไม่ใช่เพียงงานอีเวนต์ แต่คือเวทีขับเคลื่อนสังคม ที่ชวนทุกคนมาค้นหาความรู้ และแรงบันดาลใจ เพื่อปลดล็อกชีวิตให้เป็นอิ สระได้ตั้งแต่วันนี้ เพราะ “GEN อิสระ” ไม่ได้หมายถึงการรอให้แก่ก่อน แต่คือการเลือกใช้ชีวิตอย่างที่ อยากเป็น ได้ทุกวัย พบกันในวันที่ 17–19 ตุลาคม 2568 เวลา 10.30–20.00 น. ณ centralwOrld PULSE ชั้น 7 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ งานนี้เข้าฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
โดยสามารถลงทะเบียนร่วมงาน Life Fest 40+ รู้ก่อน ดีกว่า ได้ที่ https://lifefest.in.th/ register/ และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติ มได้ที่เพจ Life Fest