ณ เวลานี้ในโลกออนไลน์คงไม่มีเรื่องไหนที่ชาวเน็ตจะให้ความสนใจเท่ากับเรื่องของ หนุ่มแว่นหัวร้อนด่ากราดคู่กรณี อย่างแน่นอน
จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนถนนอุทยานหรือถนนอักษะ โดยคลิปนั้นมีหนุ่มใส่แว่นที่มีอาการหัวร้อน ตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายดูหมิ่นคู่กรณี และแฟนสาวก็ได้พยายามเตือนสติและขอโทษคู่กรณีอีกด้วย งานนี้จึงเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว
ดังนั้น เราจะมาเปิดเผยเรื่องราวใน “5 เรื่องจริง หนุ่มแว่นหัวร้อน หลังเจอชาวโซเชียลรุมกระหน่ำ” จะมีเรื่องราวไหนบ้างที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน มาดูกันค่ะ
อันดับ 1 ดีกรีนักเรียนนอก
หนุ่มหัวร้อนนั้นได้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ซึ่งประเทศนั้นก็คือ ฝรั่งเศส และเจ้าตัวก็ได้ศึกษาต่อจนจบปริญญาตรีแล้วจึงกลับมาที่ประเทศไทยนั่นเอง ซึ่งการไปเรียนที่ต่างประเทศนั้นส่งผลให้หนุ่มหัวร้อนได้ทักษะมาประกอบอาชีพในปัจจุบัน
อันดับ 2 เปิดเผยอาชีพ
โดยการไปเรียนที่ฝรั่งเศสตั้งแต่เด็กทำให้เจ้าตัวนั้นมีทักษะภาษาที่ค่อนข้างดี ทำให้เขานั้นรับสอนภาษาฝรั่งเศสและเป็นแอดมินเพจโรงเรียนสอนภาษา อีกทั้งยังทำงานในบริษัทที่ให้บริการด้านการก่อสร้างการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ก่อนที่จะที่โดนมติให้พ้นสภาพการเป็นพนักงาน
อันดับ 3 ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
และชื่อของหนุ่มแว่นหัวร้อนคนนี้ก็ถูกพบว่า เขานั้นเคยเป็นหนึ่งในรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสอบสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานจ้างเหมาบริการ ตำแหน่งพนักงานประชาสัมพันธ์ ของสำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
อันดับ 4 ป่วยเป็นซึมเศร้า
หลังจากตำรวจได้เชิญตัวหนุ่มแว่นหัวร้อนมารับทราบข้อกล่าวหา และเขานั้นก็ได้เดินทางมาพร้อมคุณพ่อและคุณแม่พร้อมทั้งยังนำยาระงับโรคซึมเศร้ามายืนยันต่อเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งหนุ่มแว่นหัวร้อนได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าชนิดที่ควบคุมตนเองไม่ได้
อันดับ 5 ความจริงเกี่ยวกับสถานเอกอัครราชทูต
หลังมีการพาดพิงและอ้างว่าหนุ่มแว่นหัวร้อนเป็นลูกชายของเลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์นั้น ล่าสุดทาง Royal Thai Embassy, Helsinki ได้ชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า “ลูกชายของเลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูตฯ คนปัจจุบันยังเรียนอยู่เกรด 8 ณ โรงเรียนท้องถิ่นในฟินแลนด์ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลที่เป็นข่าวแต่อย่างใด”
ขอขอบคุณรูปจาก Facebook KASA Development Royal Thai Embassy, Helsinki โต้ เจ็ทโด้
ขอขอบคุณรูปจาก komchadluek