คืบหน้าประเด็นด็กหญิงวัย 15 ปี ชาว จ.นครราชสีมา ถูกตัวแทนลิขสิทธิ์ดำเนินการล่อซื้อจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ อันเนื่องมาจากเด็กหญิงได้ประดิษฐ์กระทงในรูปการ์ตูนขายเป็นรูปการ์ตูนที่ตัวแทนลิขสิทธิ์อ้าง พร้อมเรียกเงินค่าปรับจำนวน 50,000 บาท เพื่อเป็นการไกล่เกลี่ย แต่ตำรวจช่วยเจรจาให้จนกระทั่งตกลงจ่ายค่าปรับไปที่ 5,000 บาท ด้านตัวแทนลิขสิทธิ์โต้กลับ ไม่ได้เรียกเงิน ยืนยันไม่มีการล่อให้กระทำความผิด อ้างครอบครัวเด็กสาวเข้าใจคลาดเคลื่อน
นายประจักษ์ โพธิผล อายุ 56 ปี ผู้รับมอบอำนาจจาก บริษัท พอส์ อิงค์ จำกัด และ บริษัท ซาน เอ็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานศิลปกรรม ประเภทงานจิตกรรม ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 เปิดเผยว่า น้องที่ใช้เฟซบุ๊กชื่อ อายจ๋า ได้โพสต์รูปกระทงที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ลงในเฟซบุ๊ก ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมา และมีคนสั่งซื้อก่อนที่ทีมงานจะเห็น
ตนจึงติดต่อไปในช่วงต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา โดยทางบริษัทมีทีมงานที่คอยติดตามผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ในโซเชียลอยู่แล้ว จึงได้เดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ และได้มีการติดต่อให้ส่งมอบของในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งพบว่าเด็กสาวคนดังกล่าวถือถุงกระทงมาส่งให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมตัวแทนลิขสิทธิ์จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุมพร้อมของกลาง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา
หลังจากนั้นญาติได้มีการขอเจรจาซึ่งตนเองก็ให้เจรจาเนื่องจากว่าผู้ที่ถูกจับกุมยังเป็นเยาวชนอยู่ และขยันทำมาหากิน แต่ผิดก็คือผิด และสามารถถอนแจ้งความร้องทุกข์ได้ โดยที่พ่อแม่เสนอเป็นค่าละเมิดลิขสิทธิ์ให้ 5,000 บาท ในส่วนที่ถูกกล่าวหาว่าตัวแทนบริษัทเรียกเงินจำนวน 50,000 บาท ตนแค่แจ้งให้ครอบครัวของเด็กสาวทราบเท่านั้นว่า ตาม พ.ร.บ ลิขสิทธิ์ มีโทษปรับตั้งแต่ 50,000 บาทถึง 400,000 บาท จำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 2 ปี ซึ่งพยายามอธิบายเรื่องของกฎหมายให้ฟัง แต่กลับถูกครอบครัวของเด็กสาวตีความในทางที่ผิด และเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่
ด้านนายนัน ที่มีกระแสโพสต์ภาพลงในโซเชียลนั้น เป็นเจ้าหน้าที่ที่คอยสอดส่องผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของบริษัท และส่งข้อมูลมาให้ตนเอง ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทล่อให้น้องออกแบบรูปกระทงเป็นตัวการ์ตูนดัง แล้วมาล่อซื้อจับกุมนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยน้องเยาวชนมีการโพสต์ภาพรูปกระทงที่มีการละเมิดอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วนประเด็นที่ถูกโจมตีวันนั้นประชาชนฟังข่าวอยู่ข้างเดียว จึงทำให้เจ้าหน้าที่ถูกโจมตีอย่างหนัก ถ้าพูดถึงบริษัทก็ได้รับความเสียหายเช่นกันเพราะทำซ้ำดัดแปลงโดยไม่ซื้อสิทธิ์ แต่อยากให้สังคมเข้าใจว่าน้องทำผิดจริง และก็มีผู้ใหญ่เข้ามาเจรจาให้ถอนคำร้องทุกข์ ทางตนเองก็ถอนคำร้องทุกข์ให้ถือเป็นการให้โอกาสเด็ก หลังจากมีกระแสสังคมต่อว่าทางทีมงานลิขสิทธิ์อย่างหนักก็รู้สึกเสียใจเกี่ยวกับการทำงาน และปกป้องสิทธิ์ของผู้เสียหาย หากเราไม่ปกป้องสิทธิ์ผู้กระทำหรือผู้ผลิตก็จะส่งผลให้เดือดร้อนเพราะบริษัทเป็นผู้ลงทุน ส่วนที่มีข่าวลือว่าทางบริษัทจะนำเงินจำนวน 5,000 บาทคืนน้องนั้นไม่เป็นความจริง หากเรานำเงินไปคืนก็เท่าว่าเราเป็นผู้ผิดเสียเอง