จากกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบกรณีการจัดซื้อเครื่องไบโอเมตริก (Biometrics) วงเงิน 2,100 ล้านบาท และรถตรวจการไฟฟ้าของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
ทั้งนี้ 10 ม.ค. ที่ ป.ป.ช.สนามบินน้ำ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) เดินทางมาให้ปากคำในฐานะพยาน ในคดีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบกรณีการจัดซื้อเครื่องไบโอเมตริก (Biometrics) วงเงิน 2,100 ล้านบาท และรถตรวจการไฟฟ้าของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในเมื่อความยุติธรรมในองค์กรหาไม่ได้จึงต้องมาหานอกองค์กรแบบนี้ ที่ผ่านมาตนได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แล้วและคงเป็นวันสุดท้ายที่จะออกมาพูด เมื่อให้การ ป.ป.ช.แล้วคงหมดหน้าที่
ระบบไบโอเมทริก เป็นระบบที่ดีตนเห็นด้วย เดิมใช้งบประมาณเกือบ 1 พันล้าน ต่อมาผู้มีอำนาจขยายไปเป็นกว่า 2 พันล้าน โดยใช้งบ สตม.แต่โอนงบไปส่วนกลาง ซึ่งเป็นตอนที่ตนมารับตำแหน่งแล้ว และต้องมีการส่งมอบงาน แต่งวด 1-2 ส่งงานล่าช้า งวด 3-4 ส่งมอบไม่ได้ ระบบทำงานไม่ได้ ตนในฐานะหัวหน้าหน่วยจึงส่งหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ยกเลิกสัญญา
แต่ภายหลังมีการจัดซื้อเกินจากการเพิ่มงบประมาณ แล้วส่งเครื่องไปที่ตำรวจภูธร โดยไม่มีการใช้งานฝุ่นเขรอะเพราะเครื่องใช้สำหรับการตรวจคนผ่านแดน ที่เอาไปใช้กันบ้างก็แค่ส่วนเดียวใช้งานไม่คุ้มค่า การเพิ่มงบเไม่ใช่เพิ่มเทคโนโลยีแต่เป็นการเพิ่มของ
“ดูแววตาผมแล้วกัน ถ้ามันไม่อัดอั้นตันใจจริงๆ ไม่มีใครกล้าออกมาขนาดนี้ ใครจะกล้ามาสู้กับผู้มีอำนาจแบบนี้ ถ้ามันไม่จวนตัวจริงๆ ไม่ถึงตัวจริงๆ ”
ส่วนโครงการรถไฟฟ้าอัจฉริยะ ตอนที่ตนมารับตำแหน่ง ผบช.สตม. มีการอนุมัติไปแล้ว โดยมีการโอนงบของ สตม.ไปให้ส่วนกลางเป็นผู้จัดซื้อ ซึ่งรถสายตรวจไฟฟ้าที่ซื้อขาด 260 คัน มูลค่า 900 ล้านบาท ใช้ไฟฟ้า โดยระบบไวไฟเชื่อมต่อ ซึ่งเมื่อไปใช้ต่างจังหวัดไม่สามารถใช้งานได้จึงต้องจอดทิ้งไว้ หรือเมื่อไปเติมน้ำมันก็ผิดเรื่องการจัดซื้อที่ต้องการให้ใช้ระบบไฟฟ้าเพื่อประหยัดน้ำมัน สุดท้ายก็นำไปใช้นำขบวนซึ่งผิดวัตถุประสงค์ ตนทำได้เพียงกำชับไปว่าให้ใช้ให้ตรงวัตถุประสงค์
“บุคคลในคลิป ก็เรื่องนี้ฮะ ที่มีปัญหาขัดแย้งกันทุกวันนี้ก็เรื่องนี้ มีการติดต่อให้ไปพบ มีการนัดให้ไปเจรจาหลายครั้งแล้วเพื่อจะให้ยุติ คือผมยุติไม่ได้ เหมือนที่ทนายษิทรา เขามาร้องเรียนแล้ว เขาก็ถอนไม่ได้ มันไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียวที่ถูกเรียกไป ทนายษิทราเขาก็ถูกเรียกไปเหมือนกันแต่เขาก็ไม่ได้ไป แต่ละคนก็ต้องทำหน้าที่กันไป ความจริงต้องปรากฎจะช้าบ้างเร็วบ้างก็ไม่เป็นไร”
“เครื่องไบโอฯ มันไม่ถึงพันล้านหรอก แต่มันไปกันถึง 2 พันกว่ามันไปได้อย่างไร แล้วไอ้เครื่องที่มันเกินแผนแรกไม่ได้มีการแจกให้ภูธร แต่พอเกินเลยต้องไปแจก”
สำหรับกรณีนี้ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เป็นผู้ร้อง ป.ป.ช. ให้สอบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ติณภัทร ภุมรินทร์ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง ในฐานะผู้อนุมัติการจัดซื้อจัดจ้าง และ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กับ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ในฐานะเป็นผู้ตรวจรับงานโครงการและเป็นผู้ขยายสัญญาให้กับเอกชน
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก WorkpointNews