ศ.ดร.นพ.วิปร วิประกษิต เจ้าของเพจ สื่อสุขภาพ by Dr. Vip ได้ออกมาโพสต์อธิบายเรื่องของไวรัสโควิด-19 กับการแพร่เชื้อในเด็ก หลังจากผลสำรวจพบว่า เด็กไม่เคยเสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้เลยสักราย หรือว่าไวรัสตัวนี้ "รักเด็ก"ราวกับนางงาม??
สื่อสุขภาพ by Dr. Vip ได้เผยข้อมูลถึงเรื่องดังกล่าวไว้ทั้งสิ้นว่า 11 ข้อ ไว้ดังนี้ว่า สิ่งหนึ่งที่หลายคนสงสัยรวมทั้งผมด้วยในฐานะ ที่เป็น “พ่อคน” ว่าน้องโควิด นั้น”รัก”เด็กแค่ไหน
1. ตามที่เล่าไปแล้วว่าน้องโค นั้นดูเหมือนจะมีผลกระทบน้อยมากกับเด็กๆ น้อง ๆ หนูๆ (อีหนูไม่เกี่ยวนะ) เด็กที่เป็น มีอาการก็มักจะไม่รุนแรงและคนไข้เด็กระดับเข้าไอซียูอยู่นั้นก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเลย
2. จากข้อมูลการวิเคราะห์ล่าสุดของมหาวิทยาลัย จอห์นฮอปกินส์ และทีมนักวิจัยในประเทศจีนรวบรวมรายงานในคนไข้มากกว่า 72,000 ราย เชื่อหรือไม่ครับว่าผู้ป่วยที่เป็นเด็กนั้นมีไม่ถึงหนึ่งใน 10 และในจำนวนคนไข้ที่เสียชีวิตกว่า 1000 คนนั้น
ไม่มีเด็กคนไหนตายเลยสักคน...เย้ๆๆๆ
3. ทำไมเด็กมันถึงทนทานได้ขนาดนี้ เพราะเรามักจะคิดว่าเด็กๆ นั้นบอบบาง น่าทะนุถนอมและอ่อนแอกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นเวลาที่มีการติดเชื้อชนิดต่างๆ คนไข้เด็กก็มักจะมีอาการที่รุนแรงมากกว่า เพราะภูมิต้านทานของร่างกายยังพัฒนาได้ไม่ดี
กลายเป็นว่าอีน้องโควิด มาเล่น บท “นางงาม” รักเด็ก ไปซะอย่างนั้นแหละ
4. ผลการวิจัยจากเมืองเซินเจิ้น (เชื่อถือได้นะไม่ใช่กระเป๋าหลุยส์) ที่ติดตามคนไข้จำนวนเกือบ 200 รายและบรรดาสังคญาติที่ได้สัมผัสโรคอย่างใกล้ชิดอีกมากกว่า 1000 คน พบว่าอัตราการติดเชื้อในเด็กที่อายุต่ำกว่า 9 ขวบ อยู่ที่ 7-8 % ซึ่งไม่แตกต่างกับผู้ใหญ่ครับ
เพราะฉะนั้นโอกาสในการติดเชื้อของเด็กกับผู้ใหญ่มีเท่ากันครับ
5. เพียงแต่อีเด็กพวกนี้ ทั้งที่มีประวัติสัมผัสโรคและต่อมาได้รับการตรวจยืนยันว่ามีการติดเชื้อ จำนวนมากไม่เคยมีอาการเลยแม้แต่น้อย...
โอ้แม่เจ้า!! อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
6. แล้วทำไมเด็กๆ ที่ติดเชื้อแล้วจึงมีอาการน้อยกว่า และไม่มีอัตราตายเลย ข้อมูลของน้อง COVID-19 ในปัจจุบันคงจะยังให้คำตอบนี้ตรงๆ ไม่ได้ครับ เพราะเราไม่มีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยเชื้อตัวนี้โดยตรง
7. เราจึงต้องอนุมานเอาจากข้อมูลของญาติผู้พี่คือ พี่ซาซ่า (SARs) ที่มีการระบาด
ในช่วงปี 2002- 2003 และมีอาการคล้ายๆ กัน ทำให้มีคนเสียชีวิตไป 774 ราย แต่เชื่อหรือไม่ครับว่าในคนที่เสียชีวิตนั้นไม่มีใครเลยที่มีอายุ”น้อยกว่า” 24 ปี
(อยากกลับไปอายุ 24 ปี อีกจัง)
แปลว่าเด็กติดแล้ว ไม่ตายเลย (ดีใจแทนพ่อแม่ทุกท่านครับ)
8. หนึ่งในกลไกสำคัญที่ทำให้มีอัตราตายสูงในการติดเชื้อโคโรนา คือการเกิด “ไฟไหม้ในปอด” (อันนี้เป็นศัพท์ที่ผม เรียก cytokine storm บัญญัติเอง นักเลงพอครับ...555) ก็เลยมีคนตั้งสมมุติฐานว่า การที่ระบบภูมิต้านทานของเด็กยังเจริญไม่ดี แทนที่จะเป็นผลร้าย กลับกลายเป็นผลดีที่ไม่ส่ง“ไฟ”มาเผาตัวเองแบบคนอายุเยอะกว่า
9. ข้อมูลในหนูทดลองยังพบว่า เมื่อหนูแก่ตัวลง ปอดของหนูแก่ๆ จะช้ำชอกมากขึ้นเพราะผ่านโลกมาเยอะทั้งการติดเชื้อก่อนหน้า มีการอักเสบเกิดแล้วหายๆ ซ้ำๆ
ตลอดจนการเผชิญกับมลพิษ มลภาวะ ควันธูป ควันบุหรี่ ควันรถ ละอองเกสร และสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ต่างๆ มาตลอดชีวิต
รวมทั้งไอ้ pm 2.5 ที่มันยังอยู่แต่ดูเหมือนคนจะลืมมันไปซะแล้ว
ปอดแก่ช้ำๆ ก็เหมือนใจชํ้าๆ นะครับ เพราะมันโดนทำร้าย บาดเจ็บง่ายๆ จากการติดเชื้อและ ระบบภูมิต้านทานที่ต่อต้านตัวเอง...เศร้าจริงๆ ไหนเลยจะสู้ปอดของเด็กที่สดๆ ซิงๆ (pristine lung)
10. อย่างไรก็ตามในกรณีของเด็กที่มีปอดไวต่อการกระตุ้นเช่น เป็นโรคหอบหืด หรือเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนดที่ปอดไม่สมบูรณ์ หนูๆ กลุ่มนี้ ก็อาจจะมีความไวมากกว่าต่อการติดเชื้อน้องโควิด-19 ได้
คุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกเป็นโรคปอด หอบหืด เราเตือนคุณแล้ว อย่าเสี่ยงดีกว่าครับ
11. สมมุติฐานสุดท้ายซึ่งจริงๆ ก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนเชื่อว่า การที่เด็กเป็นหวัดบ่อย (ตามธรรมชาติของเด็ก) จากการติดเชื้อโคโรนา ตัวอื่นๆ ในตระกูลที่ไม่รุนแรง อาจจะส่งผลให้เด็กสร้างภูมิต้านทานที่จะช่วยให้หายจากน้องโควิด-19 ได้เร็วมากกว่าผู้ใหญ่ครับ
การที่น้องโควิด-19 ไม่ ”ทำร้ายเด็ก” จนมีอาการที่รุนแรงอาจจะส่งผลลบอีกแง่ในเชิงการระบาดของโรค เพราะพอน้องๆ หนูๆ ไม่มีอาการ ก็ทำให้เด็กเป็นจำนวนมากที่อาจไม่ได้รับการวินิจฉัย และเด็กน้อยเหล่านี้จะกลายร่างเป็น”นางนกต่อฟันน้ำนม”ที่นำโรคไปติดยัง พี่ ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ที่บ้านได้
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก