จากกรณีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระดับที่ 2 แต่ก็มีหลายคนที่เริ่มจะวิตกกังวลแล้วถึงความปลอดภัยของตัวเอง
ล่าสุดทางเพจ Gossipสาสุข ได้ออกมาเผยข้อมูลว่า หากประเทศไทยเข้าสู่ระดับ 3 จะเป็นเรื่องยากมากหากจะจัดการหรือควบคุม โดยมีเนื้อหาข้อมูลดังนี้
ไทยเสี่ยงสูง
หมดปัญญาจัดการ
หากเข้าเฟส 3 สมบูรณ์แบบ
หลายวันที่ผ่านมา สะท้อนชัดว่าหน่วยงานรัฐ ที่เป็นองคาพยพในการจัดการก ับโควิด – 19 ล้วนมีปัญหาในการจัดการตั้ง แต่ต้นทาง ไปจนถึงปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการ “ปัดสวะ” เรื่องการจัดการหน้ากากอนาม ัย ที่ยัง “ขาดแคลน” อยู่ถึงทุกวันนี้ ไปให้พ้นตัว ไปจนถึงการจัดการศูนย์ควบคุ ม “ผีน้อย” ที่สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็น ท่า ต้อง “ปิดศูนย์” ทั่วประเทศ
อันที่จริง ก่อนหน้านี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่ามี “ต้นทุน” ที่สูงมากทีเดียว จากสติปัญญา จากความสามารถของบรรดาข้ารา ชการ “หัวกะทิ” ในกระทรวงสาธารณสุข ที่เป็นทัพหน้า ยันไม่ให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อ พุ่งขึ้นสูง ตั้งแต่เดือน ม.ค. หลังจากจีนประกาศปิดอู่ฮั่น และปิดประเทศใหม่ๆ
แต่หลังจาก “การเมือง” เข้ามาแทรกแซงมากเข้า และหลายเรื่อง อยู่นอกเหนืออำนาจของกระทรว งสาธารณสุข มาตรการหลายอย่าง ระบบหลายเรื่องที่ถูกวางไว้ ดีอยู่แล้ว ก็มีปัญหาทันที และความเชื่อมั่น ก็ลดลงไปเรื่อย ๆ นับตั้งแต่วันนั้น
เชื่อหรือไม่ว่า จนถึงวันนี้ บรรดาหมอ - เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ยังคง “ขาดแคลน” หน้ากาก แต่ถูกสั่งไม่ให้ “พูดมาก” ไม่ให้ขอรับบริจาค เพราะจะกระทบกับ “หน้าตา” ของบางคนในรัฐบาล ที่ได้รับดาบอาญาสิทธิ์ไปให ้คุมการจัดการหน้ากากโดยตรง
เชื่อหรือไม่ว่า เจ้าหน้าที่ในสนามบิน โดนสั่งงานหลายอย่างข้ามหน้ าข้ามตา จากหน่วยงานอื่น ไม่มี Line of Command แต่กลายเป็นใครเสียงดังที่ส ุด คนนั้นก็มีสิทธิ์สั่งมากที่ สุด มิหนำซ้ำ อุปกรณ์หลายอย่าง อย่างหน้ากากอนามัย อย่างเจลล้างมือ ก็ต้องใช้อย่างจำกัดจำเขี่ย จนเจ้าหน้าที่สนามบินหลายคน ติดเชื้อ หลายๆ เรื่อง สุมไฟรวมกัน จนทำให้ผู้อำนวยการท่าอากาศ ยานสุวรรณภูมิ ต้องลาออก
และเชื่อหรือไม่ว่า จนถึงขณะนี้ อุปกรณ์หลายอย่างสำหรับ “ทัพหน้า” ไม่ว่าจะเป็นชุดสำหรับป้องก ันไวรัส PPE ห้องแยกโรคความดันลบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องช่วยหาย ใจ หรือเตียง ที่ต้องใช้ หากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทีเดี ยวนับร้อย หรืออาจเป็นหลายร้อยคน จะมีไม่เพียงพอ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่บุคลาก รสาธารณสุขกังวลและออกมาส่ง เสียง แถลงการณ์กันเป็นระยะๆ แต่ก็เหมือนว่าระดับบริหารจ ะไม่มีใครได้ยินเสียงนี้
ตัวเลขจากองค์การอนามัยโลกน ั้นชัดเจนว่า หากป่วย 100 คน จะมีผู้ที่ต้อง “แอดมิท” ในโรงพยาบาลมากกว่า 20 คน และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ มากกว่า 5 คน ซึ่งชัดเจนว่าหากป่วยในหลัก หลายร้อย ไทยจะไม่สามารถเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ได้เพียง พอแน่นอน
เพราะขนาด “หน้ากากอนามัย” ก็ยังวุ่นวาย ยังจัดการไม่ได้ จะไปมีปัญญาอะไรกับการจัดกา รที่สเกลใหญ่ขนาดนี้...
ว่ากันอีกเรื่อง ประสิทธิภาพในการ “ตรวจ” ผู้ติดเชื้อใหม่ๆ ในไทย ยังไม่สามารถทำได้ทัน หากมีการติดเชื้อจาก “คนสู่คน” เป็นวงกว้าง เพราะชุดตรวจไวรัสโคโรนา 2019 ยังคงจำกัด เมื่อวันก่อน สธ.ออกมาประกาศว่า การตรวจทางห้องปฏิบัติการมี เพียงแค่ 35 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่ของเอกชนนั้นการตรวจแ ต่ละครั้ง ต่างก็สนนราคาแพงหลักหมื่นบ าท
เท่าที่รู้ ก่อนหน้านี้ มีการถกเถียงกันในวงแพทย์ผู ้เชี่ยวชาญว่าซื้อชุดตรวจ ต้องหาทางตรวจให้ได้เยอะที่ สุดหรือไม่ อย่างไรก็ตาม วอร์รูมกระทรวงสาธารณสุข กลับสรุปว่า ไม่จำเป็นต้องมีชุดตรวจ ไม่ต้องระดมตรวจกันมากขนาดน ั้น เพราะในที่สุด จะสามารถ “จำกัดวง” การระบาด ให้อยู่เฉพาะคนที่ใกล้ชิดกั บต่างชาติได้ และจะไม่มีการระบาดคนไทย สู่คนไทย เป็นวงกว้าง หรือเป็นเฟส 3
แต่จนถึงขณะนี้ เราต่างรู้กันแล้วว่า เป็นการประเมินที่ผิด ในวันที่เริ่มมีการติดเชื้อ แบบแปลกๆ ประเทศไทยยังคงมีชุดตรวจไม่ เพียงพอ และมีคนอีกมาก ที่ “หลุด” กระบวนการคัดกรอง ต่างจากประเทศที่สามารถคุมก ารระบาดของโรคได้อย่างรวดเร ็วอย่างเกาหลีใต้ ที่สามารถตรวจเบื้องต้นได้ถ ึงวันละ 1 หมื่นคน ตามหลัก ตรวจเร็ว รักษาเร็ว ตายน้อย
ขณะที่ของไทยนั้น กระทรวงหมอ และรัฐบาล ยังคงยืนยันแบบเดิม ด้วยการกล่อมกับตัวเองว่าทุ กคนที่ติดโควิด – 19 นั้น ยังสามารถควบคุมได้ ทุกคนที่ติดนั้น มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่เกี่ยว กับคนต่างชาติ ที่ตัว “โฮสต์” ต่างก็เดินทางออกนอกประเทศไ ปแล้วทั้งนั้น...
พูดก็พูดเถอะ วิธีแบบนี้ยิ่งทำให้ความน่า เชื่อถือของกระทรวงสาธารณสุ ข ของบรรดานายแพทย์ที่นั่งแถล งกันทุกวันนั้น “ถดถอย” ลงไปเรื่อยๆ เพราะในแต่ละวัน ล้วนมีเคสแปลกๆ ที่แต่ละคนไม่ได้เดินทางไปต ่างประเทศ บางคนทำร้านอาหาร บางคนเป็นพนักงานบริษัท หรืออยู่ในสนามมวย ไม่ได้ใกล้ชิดกับชาวต่างชาต ิ แต่ก็ไปตรวจพบเชื้อเป็นบวก สะท้อนให้เห็นว่าอยู่ที่ไหน ก็ “อันตราย” ทั้งสิ้น
หรืออย่างเคส “เที่ยวกลางคืน” แล้วติดโคโรนาไวรัส เพราะกระทรวงสาธารณสุขอ้างว ่าติดจาก “ชาวฮ่องกง” ก็มีปริศนาที่น่าสงสัย เพราะฮ่องกง ยืนยันว่าไม่เคยได้รับข้อมู ลว่าใครที่ติดเชื้อจากไทย แล้วกลับเข้าฮ่องกง และหากไทยมีข้อมูลว่าติดจาก ใคร ก็ควรส่งข้อมูลให้รัฐบาลฮ่อ งกง เพื่อจะได้ติดตามตัว แต่ไทย กลับงึมงำๆ ไม่สามารถบอกได้ว่าติดจากใค ร จนคนพูดกันไปทั่วว่า ถึงที่สุดแล้ว อาจติดจากคนไทยด้วยกันเอง แต่มีคนสั่งว่า “ไม่ให้พูด” แบบนั้น
ที่แย่ที่สุด คือหลังจากมีคนไปตรวจด้วยตั วเองว่า “มีเชื้อ” ไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดง ไม่ว่าจะเป็นเซียนมวย แทนที่กระทรวงฯ จะทำงานเชิงรุก ด้วยการเข้าไปขอข้อมูล หรือสืบสวนหาความจริง กลับออกมาเตือนคนเหล่านี้แท นว่าหากให้ “ข้อมูลเท็จ” จะผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งก็น่าตั้งคำถามว่าเคสเห ล่านี้ ทำให้กระทรวง ทำให้รัฐบาลเสียหน้าหรือไม่ หรือว่าสุดท้ายแล้ว ต้องการจะ “หลอกตัวเอง” ต่อไปเรื่อยๆ ว่าประเทศไทยยังจัดการได้อย ู่ ยังไงก็ไม่มีคนติดเชื้อแบบแ ปลกๆ แน่นอน
สิ่งที่ชัดที่สุด มาจากแถลงการณ์ของสมาคม “อุรเวชช์” แห่งประเทศไทย ศูนย์รวมของบรรดาแพทย์ทรวงอ ก ที่ประกาศชัด ไม่ต้องรอให้กระทรวงสาธารณส ุขประกาศว่าไทยเข้าสู่เฟส 3 แต่หมอทรวงอก เป็นผู้ประกาศเอง ว่าประเทศเราเข้าสู่เฟส 3 เรียบร้อยแล้ว และด้วยความพร้อมขณะนี้ ไทย ไม่มีทางที่จะรับมือกับสถาน การณ์ได้เลย
“พวกเราก็จะไม่ยอมก้มหัวให้ กับผู้รับผิดชอบระดับสูง ที่ขาดความเชี่ยวชาญและเข้า ใจบริบทการทํางานของพวกเราอ ย่างถ่องแท้ ได้เวลาแล้วที่พวกเราต้องเต รียมทําศึกแม้จะไม่มีอาวุธท ี่มีประสิทธิภาพและแม่ทัพที ่เด็ดขาดเข้มแข็ง” แถลงการณ์ของสมาคมอุรเวชช์แ ห่งประเทศไทยระบุ
สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยในเวลานี้เสี่ยงกั บคำว่า “รัฐล้มเหลว” จากเหตุโควิด – 19 อย่างเต็มที่ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะ “เละไม่เป็นท่า” หากยังบริหารงานกันในแบบ “หลอกตัวเอง” ว่าทำได้ดีแล้ว แบบนี้ต่อไป...
คอมเม้นท์จากชาวเน็ต
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Gossipสาสุข ,Workpoint News