เรียกได้ว่าประเทศในทวีปยุโรปซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ สำหรับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด - 19 ที่กำลังระบาดอย่างหนักในประเทศในทวีปยุโรป แบบไม่เคยมีมาก่อน และไม่สามารถรู้แน่ชัดได้ว่าจะหยุดระบาดได้วันไหน
เมื่อล่าสุด เว็บไซต์ ข่าวช่องวัน รายงานว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ สั่งห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถาน ยกเว้นไปทำงาน ไปพบแพทย์ หรือจับจ่ายซื้อของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น โดยมีผลบังคับใช้นาน 14 วัน นับตั้งแต่วันนี้ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการปรับเงินสูงสุดกว่า 135 ยูโร หรือเกือบ 5,000 บาท
มาตการดังกล่าวขึ้นหลังจากกระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศส ยืนยันตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูงถึง 6,633 คน เมื่อวานนี้ โดยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 923 ราย จากวันก่อนหน้า ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิต อยู่ที่ 148 คน ขณะเดียวกันประธานาธิบดีได้สั่งการให้นายทหารนับพันนายลงพื้นที่ช่วยคนส่งผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาล
ส่วนที่แคนนาดา นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ปิดพรมแดนไม่ให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ ยกเว้นพลเมืองแคนาดา ผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยถาวร และชาวอเมริกัน ยังสามารถเดินทางเข้าออกแคนาดาได้ ขณะที่ การปิดพรมแดนจะไม่กระทบถึงการขนส่งสินค้า เพียงแต่จำกัดการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติเพียงเท่านั้น โดยจำนวนผู้ติดเชื้อแคนาดา มีกว่า 424 คนแล้ว และเสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน
ขณะที่รัสเซียออกคำสั่งห้ามชาวต่างชาติเข้าประเทศ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม หลังพบผู้ติดเชื้อวันเดียวถึง 30 คน ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในรัสเซีย เพิ่มเป็น 93 คน ทางการกำลังเร่งสร้างโรงพยาบาลชั่วคราว เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยที่ติดโควิด-19 โดยเฉพาะ
ด้าน สเปนซึ่งประกาศใช้มาตรการปิดพรมแดนไปก่อนหน้านี้ ทำให้สายการบินต่างๆ ทยอยยกเลิกเที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวและผู้ที่ต้องการเดินทางออกนอกสเปน ติดค้างอยู่ที่สนามบินเป็นจำนวนมา
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมาธิการยุโรป หรืออียู มีมติให้ปิดพรมแดนอียูนาน 30 วัน โดยงดการเดินทางที่ไม่จำเป็น เนื่องจากขณะนี้ยุโรปได้กลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดแห่งใหม่
ขอบคุณข้อมูลจาก one31