กระทรวงการคลัง ออกมาชี้แจง ประเด็นกลุ่มเกษตรกรอาจไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการ "เราชนะ" มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด - 19 ระลอกใหม่

สถานีข่าวกระทรวงการคลัง : Ministry of Finance News Station รายงานว่า โครงการเราชนะ ถือเป็น โครงการที่จัดทำขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ เป็นเวลา 2 เดือน เริ่มเดือนกุมภาพันธ์ - เดือนมีนาคม 2564 ด้วยวงเงินสนับสนุน 3,500 บาทต่อคน ต่อเดือน

การคัดเลือกผู้ได้สิทธิ์เข้าร่วมโครงการจะคำนึงจาก ความสามารถในการจ่ายค่าครองชีพและผู้มีระบบคุ้มครองทางสังคมเป็นหลัก การช่วยเหลือครั้งนี้จะครอบคลุมประชาชนหลายอาชีพ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หาบเร่ แผงลอย รับจ้าง เกษตรกร เป็นต้น โดยคุณสมบัติผู้ที่จะได้รับสิทธิ์มี ดังนี้
1. เป็นผู้มีสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
2. ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33แห่งกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม (ยกเว้นเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่ก่อนแล้ว)
3. ไม่เป็นข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงาน ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐที่ได้รับค่าตอบแทนจากหน่วยงานของรัฐโดยตรง
4. ไม่เป็นข้าราชการการเมืองตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
5. ไม่เป็นผู้รับบำนาญปกติหรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการ
6. ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 300,000 บาท ตามฐานข้อมูลที่มีล่าสุด
7. ไม่มีเงินฝากรวมกันทุกบัญชีเกิน 500,000 บาท ตามฐานข้อมูลที่มีล่าสุด
ด้วยเหตุผลข้างต้น เกษตรกรท่านใดเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็จะได้รับเงินเงินช่วยเหลือทันทีผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
หากเกษตรท่านใดไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็จะถูกดำเนินการตรวจสอบจากกลุ่มผู้ที่มีแอปฯ "เป๋าตัง" ที่เคยให้อนุญาตเข้าถึงข้อมูลไปทำการประมวลผลหรือเปิดเผยเพื่อดำเนินมาตรการอื่นๆของรัฐได้ โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ หากผ่านการตรวจสอบและคัดกรองก็จะได้รับเงินช่วยเหลือผ่านแอปฯ "เป๋าตัง" ทันที
หากเกษตรกรท่านใด เป็นผู้ไม่มีข้อมูลในระบบฐานข้อมูลกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มผู้มีแอปฯ "เป๋าตัง" ต้องทำการลงทะเบียนในเว็บไซต์ เราชนะ.com หากผ่านเกณฑ์ ก็จะได้รับวงเงินช่วยเหลือผ่านระบบ g-Wallet แอปฯ "เป๋าตัง"
ทั้งนี้ สามารติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการได้ผ่านเว็บไซต์ https://www.mof.go.th/th/detail/1543205599/2021-01-20-10-40-56
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก กระทรวงการคลัง