ภายหลังที่คลิป ยายา แพนด้ายักษ์เพศเมีย ซูบผอมว่อนในโซเชียลที่จีน จนทำให้เกิดข้อกังขา ล่าสุดทาง สวนสัตว์เมมฟิส ในรัฐเทนเนสซีของสหรัฐฯ ออกมายืนยันว่า แพนด้ายักษ์ 2 ตัวที่อาศัยอยู่ในสวนสัตว์นั้น “มีสุขภาพดี” ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือภาวะทุพโภชนาการ
สำนักข่าวซินหัวไทย รายงานว่า สวนสัตว์เมมฟิส ในรัฐเทนเนสซีของสหรัฐฯ ประกาศว่าแพนด้ายักษ์ 2 ตัวที่อาศัยอยู่ในสวนสัตว์นั้น “มีสุขภาพดี” หลังมีคลิปวิดีโอหนึ่งที่กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลจีน แสดงภาพแพนด้ายายาและเล่อเล่อในวัย 20 กว่าปี ที่ดูคล้ายกับมีสุขภาพย่ำแย่ จากรูปลักษณ์และพฤติกรรมของพวกมัน
ในแถลงการณ์ที่ทางสวนสัตว์ส่งให้สำนักข่าวซินหัว ระบุว่าบันทึกของสัตวแพทย์และผลการวินิจฉัยแสดงให้เห็นว่า “ยายา” แพนด้ายักษ์เพศเมีย และ “เล่อเล่อ” แพนด้ายักษ์เพศผู้ “มีสุขภาพดี” และยายา “ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือภาวะทุพโภชนาการ”
“ยายามีโครงสร้างรูปร่างแบบของเธอเอง ส่วนการขนร่วงนั้นเกิดขึ้นตามฤดูกาล ซึ่งเป็นลักษณะที่ต่างไปจากความคาดหวังของสาธารณชนที่คิดว่าแพนด้ายักษ์จะต้องตัวใหญ่ อวบอ้วน ขนฟูฟ่อง และมีใบหน้ากลม” แถลงการณ์ยังระบุอีกว่า “ยายามีบุคลิกที่ดี ทั้งยังมีปฏิสัมพันธ์กับเล่อเล่อ เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ และแขกที่มาเยือนอย่างเริงร่า”
สวนสัตว์เมมฟิสกล่าวว่าแถลงการณ์นี้เกิดขึ้นภายหลังตัวแทนจากสมาคมสวนสัตว์และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ซึ่งมีหน้าที่รับรองมาตรฐานของสวนสัตว์และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในประเทศและภูมิภาคต่างๆ เข้ามาประเมินแพนด้าทั้งสองจากภาพถ่ายและวิดีโอ ทำการสัมภาษณ์สัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านพฤติกรรมและโภชนาการของสวนสัตว์ และอ่านประวัติทางการแพทย์ของแพนด้าอย่างละเอียด ตัวแทนจากสมาคมฯ ยังได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านแพนด้ายักษ์และนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาเทียบกับข้อกังวลต่างๆ ที่ถูกส่งมา
อนึ่ง แพนด้ายักษ์คู่นี้มาอยู่ในสวนสัตว์เมมฟิสในปี 2003 ภายใต้สัญญาเช่าระยะยาวกับจีน ซึ่งได้ทำการต่อสัญญาเพิ่มอีก 10 ปี เมื่อปี 2013 ทำให้พวกมันจะอยู่ที่นี่ต่อไปถึงปี 2023 สวนสัตว์เมมฟิสซึ่งจะเปิดให้บริการอีกครั้งในวันเสาร์นี้ (23 ม.ค.) ภายใต้การบังคับใช้มาตรการจำกัดผู้เข้าชม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จัดเป็น 1 ในสวนสัตว์เพียง 3 แห่งของสหรัฐฯ ที่มีแพนด้ายักษ์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีชื่อดังมากที่สุดในโลกสายพันธุ์หนึ่ง ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของการอนุรักษ์
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก สำนักข่าวซินหัวไทย
