เมื่อกล่าวถึงโรคร้ายที่พบคนล้มป่วยเป็นอันดับต้น ๆ เลยคงจะไม่เอ่ยถึงมะเร็งไม่ได้ โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 16 ของต้นเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด สูงกว่าอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และโรคหัวใจเฉลี่ย 2 ถึง 3 เท่า หรือมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเฉลี่ย 8 รายต่อชั่วโมงในปี พ.ศ.2561 พบว่า มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ โดยประมาณอยู่ที่ 170,495 ราย และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ 114,199 ราย
แต่สำหรับเธอคนนี้คุณครูสาววัยเพียง 23 ปี เธอเป็นนักต่อสู้กับมะเร็งร้ายที่ย่างเข้ามาในชีวิตเธอ จนกลายเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่เธอไม่ยอมจำนนกับปีศาจร้ายอย่างมะเร็ง เธอสู้สุดใจจนเธอสามารถชนะมันได้ เธอเข้มแข็งมากสู้รักษาจนหายขาด แถมทำความฝันเป็นครูได้สำเร็จ
โดยเธอมีชื่อว่า น.ส.ศุภวีร์ หรือ น้องมายล์ เฟื่องฟู ชาวอ.ละอุ่น จ.ระนอง ซึ่งเธอได้นำเรื่องราวเมื่อปี 2016 มาเล่าให้ฟัง เป็นบทสนทนากับคุณลุงท่านหนึ่ง พร้อมกับภาพผมร่วงจากการทำคีโม เพื่อรักษาโรคมะเร็ง ความว่า "หนูโกนผมทำไม : ผมร่วงจากการให้คีโมเนื่องจากเป็นมะเร็งค่ะ
- ยังเรียนอยู่ไหม : เรียนค่ะ ตอนนี้เรียนครูไทยปี2ค่ะ
- หนูว่ามันจะหายไหม : หายมั้งคะ ถ้าไม่หายจากโรค ก็หายจากโลก
- ลุงเหนื่อยกับชีวิตมากเลย : ปกติค่ะ ขอเเค่ลุงสู้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปค่ะ ให้มันป่วยเเค่กาย ใจอย่าป่วยตามก็พอค่ะ เดี๋ยวมันจะดีขึ้นเอง
- หนูไม่กลัวตายหรอ : เเรกๆ ก็กลัวค่ะ ตอนนี้ไม่แล้ว จะเร็วจะช้าคนเราต้องตายค่ะ
- แล้วไม่ห่วงคนข้างหลังหรือ : ห่วงค่ะ แต่พ่อหนูสอนเสมอว่าทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติค่ะ ทำทุกวันให้ดีก็พอค่ะ
- แล้วนี้หนูอายุเท่าไร : 19 ค่ะ หน้าหนูแก่อ่ะดิ ไม่เลย หายไวๆ นะหนู : ค่ะ ลุงด้วยนะ หายไวๆ ยาดีแค่ไหน ก็สู้ใจเราดีไม่ได้นะคะ"
น้องมายล์ ยังได้เปิดใจกับทีมข่าวอีกว่า ปัจจุบันศึกษาอยู่คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย ม.ราชภัฏสุราษฎร์ธานีปีที่ 5 และกำลังเป็นครูฝึกสอนอยู่ที่ โรงเรียนอนุบาลสุราษฎร์ อีก 1 เดือนเศษๆ ก็จบการศึกษา ก่อนหน้านี้แม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ขณะที่เธอเองเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และต่อมาช่วงมัธยมปลาย เธอมีก่อนเนื้อที่บริเวณลำคอ ก็ได้ทำการรักษามาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อเข้าศึกษาปริญญาตรี ปี 2 ในปี 2558 ก็ทราบว่า เป็นมะเร็งระยะ 4 ลามลงไปที่บริเวณไขสันหลัง ต้องทำการรักษาด้วยการให้คีโม และเจาะไขสันหลัง โดยเรียนไปด้วยและรักษาตัวเองไปด้วย ไม่ขอพักการเรียน
ใช้เวลารักษาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีซึ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐ และปฏิบัติตัวตามแพทย์แนะนำอย่างดี ตามหลัก 5 อ. คือ
- 1.อาหารที่ดีไม่กินหมักดอง
- 2.อากาศที่บริสุทธิ์
- 3.อุจจาระ ขับถ่ายตรงเวลา
- 4.ออกกำลังกาย และ
- 5.อารมณ์
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำไม่ให้เครียด อย่างที่เคยพูดไว้ว่า ยาดีแค่ไหนก็ไม่สู้จิตใจเราดี ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ เชื้อมะเร็งได้หายไป 2 ปีกว่าแล้ว แต่ก็ยังต้องติดตามไปอีก 1 ปีเศษ หากครบระยะเฝ้าระวัง 5 ปี ไม่พบเชื้อก็จะหายขาด
ขณะนั้นที่รู้ว่าเธอเป็นมะเร็งระยะที่ 4 ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะแม่เคยเป็นมาก่อนแล้ว และรู้ตัวว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร และคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ต้องพบเจอกับโรคต่างๆ ที่จะต้องอยู่กับมันให้ได้ ซึ่งตอนนี้ ก็พบว่าพ่อได้ป่วยเป็นมะเร็งเช่นกันกำลังรักษาให้คีโม ก็ให้กำลังใจพ่อและแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเชื่อว่า พ่อจะต้องดีขึ้นเช่นตัวเธอเอง
ตอนนี้เธอได้ทำหน้าที่เป็นครูฝึกสอนเด็กเรียนชั้นประถมศึกษา ในวิชาภาษาไทย ซึ่งเธอบอกว่า การเข้าสอนแทนคุณครู ป.1 คาบนี้เป็นครั้งที่ 5 ในการสอนป.1 ทำให้รู้ว่า สอนเด็กโตอ่ะดีละ ทักษะการวาดช้างเดี๋ยวนี้ห่วยมากเลยเห่อ น.ร.รู้จักอุนจิไหม 5555 นางดูตื่นเต้นกับการเห็นเราวาดภาพช้างขี้ แต่อย่าขี้ตามช้างจ้ะ คำสำคัญของ ป.1/2 ของครู ถ้าเจอครูให้สวัสดี 1 ครั้งแล้วแท็ก 1 ทีหรือเชค1ครั้ง เป็นอันเข้าใจ นาน สอนก็สนุกดี แต่ถ้าสอนทุกวัน กลัวใจเหลือเกิน กลัวมุกหมดสต็อก55 ทำให้เห็นว่า ทั้งเด็กนักเรียนและครูฝึกสอนต่างมีความสุขด้วยกันทั้งคู่
ทำให้ชาวโซเชียลเข้ามาคอมเม้นต์ชื่นชมกับชีวิตใหม่ ที่เสมือนเป็นฟ้าหลังฝนของเธอ และชื่นชมในความเป็นนักสู้ ที่เจ้าตัวพยายามรักษาโรคมะเร็ง ในระยะที่ 4 ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะผ่านพ้นความเจ็บปวดไปได้ง่ายๆ แต่เธอสามารถทำได้ และยังเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนลุกขึ้นสู้กับโรคภัยต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลสัมภาษณ์ อีจัน
ขอบคุณภาพจาก SF Mildky(芳欣)