ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ อยู่ในสภาวะคล้ายกับการย่ำอยู่ดับที่ เนื่องจากมีข้อจำกัดในการดำเนินงานหลายอย่าง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ทำให้มีคนตกงานเป็นจำนวนมาก ทำให้มีหนี้สิ้นเพิ่มขึ้น
ทางเพจ KResearchCenter ได้เผยว่า "จากข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน ล่าสุดไตรมาส 4/63 บ่งชี้ว่า หนี้ครัวเรือนของไทยปิดสิ้นปี 2563 ด้วยจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 18 ปี โดยระดับหนี้ครัวเรือนทะลุ 14 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 89.3% เมื่อเทียบกับจีดีพีปี 2563 หากมองในมิติอัตราการเติบโตของหนี้ จะพบว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนปี 2563 เพิ่มขึ้นเพียง 3.9% เป็นอัตราการเติบโตต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี แสดงให้เห็นว่า ทั้งผู้กู้และผู้ปล่อยกู้ ต่างเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ในช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักลงจากผลกระทบของโควิด-19
ซึ่งมีข้อสังเกตว่า สินเชื่อภาคครัวเรือนที่ยังเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจได้นั้น สะท้อนสถานะของผู้กู้ และวัตถุประสงค์ของการกู้ยืมที่แตกต่างกัน ระหว่างผู้กู้ 2 กลุ่ม โดย กลุ่มแรก เป็นการกู้ยืมเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือรถยนต์ ซึ่งน่าจะรายได้ไม่ได้ถูกกระทบมากจากสถานการณ์โควิด และกลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มครัวเรือนที่มีความจำเป็นต้องก่อหนี้ เพื่อใช้เสริมสภาพคล่อง หรือ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน และสถานะทางการเงินอ่อนแอลงตามทิศทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ข้อมูลจากสำรวจภาวะหนี้สินและเงินออมของศูนย์วิจัยกสิกรไทย สะท้อนว่า ภาระหนี้สินและเงินออมของผู้กู้รายย่อยที่ประกอบธุรกิจ และผู้กู้รายย่อยที่มีปัญหาด้านรายได้ ถดถอยลงมากจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ระดับการออมของครัวเรือนทุกกลุ่ม ลดต่ำลงจากผลกระทบของโควิด-19 ด้วยเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มในปี 2564 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวขึ้น น่าจะทำให้เงินกู้ยืมของภาคครัวเรือนปี มีโอกาสเติบโตขึ้นสูงกว่าปี 2563 ซึ่งภาพดังกล่าว อาจส่งผลต่อเนื่องให้ สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ขยับสูงขึ้นมาอยู่ในกรอบประมาณ 89.0-91.0% ต่อจีดีพี ซึ่งภาครัฐ คงต้องหันกลับมาดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างจริงจัง เมื่อวิกฤตโควิด 19 สิ้นสุดลง
ขอบคุณข้อมูลจาก KResearchCenter