วันนี้นายแพทย์ทวีสิน วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. เปิดเผยถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้รับรายงานตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดีย 15 ราย ที่แคมป์คนงานก่อสร้าง เขตหลักสี่ ซึ่งล่าสุดอยู่ในความดูแลและเฝ้าระวัง แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เรายังได้รับข่าวสารการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายอยู่เรื่อย ๆ
ล่าสุดวันนี้ 21 พฤษภาคม 2564 นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา พล.ต.ต.ชินวิช วิชัยธนพัฒน์ ผบก.ภ.จว.เชียงราย พร้อมด้วย พ.อ.สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนาสกุล ผบ.ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ร่วมกับปกครอง ตำรวจ และทหาร ออกตรวจตราตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าออกเมืองอย่างต่อเนื่อง
จากการออกตรวจดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบคนไทย 4 คน เป็นชาย 2 หญิง 2 เดินอยู่บนถนนทางขึ้นวัดถ้ำผาจม ม.1 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย ติดชายแดนไทย-เมียนมา ด้วยท่าทีมีพิรุธ จึงเข้าตรวจสอบทราบชื่อ น.ส.ทาลิธา (สงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี, น.ส.กนกพร (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี, นายนัทที (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี และ นายสมใจ (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี เมื่อสอบถามทั้งหมดสารภาพว่า เพิ่งเดินทางมาจากเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ข้ามลำน้ำสายในฝั่งเมียนมามาแล้วเดินไปตามแนวสันเขาเข้าสู่ประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ลักลอบข้ามไปฝั่งประเทศเมียนมาเพื่อหางานทำและเยี่ยมญาติ ขณะเดินทางกลับเข้าประเทศได้เสียค่าจ้างให้คนนำพาหัวละ 10,000-13,000 บาท
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงดำเนินคดี 3 ข้อหา คือ
- 1. ข้อหาว่าเป็นบุคคลซึ่งเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไม่เดินทางเข้ามาตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่า สถานี หรือท้องที่และตามกำหนดเวลาฯ
- 2. ข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และ 3. ข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (คำสั่ง จ.เชียงรายที่ 1380/2563) จากนั้น ควบคุมตัวดำเนินคดีและกักตัวเป็นเวลา 14 วัน ตามมาตรการป้องกันโรคโควิด 19
นอกจากทั้ง 4 คนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบบุคคลต้องสงสัยเป็นชาย 1 คน ท่าทางมีพิรุธ บริเวณท่าข้ามหลังวัดถ้ำผาจมใกล้กับจุดเดิม เมื่อตรวจสอบพบไม่ใช่คนไทย ทราบชื่อคือ นายซออะแว อู อายุ 29 ปี ชาวสัญชาติอินเดีย ให้สารภาพลักลอบเข้ามาประเทศไทยด้วยการข้ามลำน้ำมาเช่นกัน เพื่อจะเดินทางไปกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่จึงผลักดันกลับไปยังประเทศเมียนมา และได้เฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก EasyYukhon