สถานการณ์ในช่วงนี้ ทำให้หลายท่าน หันมา "ช้อปปิ้งออนไลน์"เนื่องจากมีความสะดวกในการซื้อขายสินค้า ทำให้มิจฉาชีพมวกฉวยโอกาส หาช่องว่างของการซื้อขายสินค้าออนไลน์มากระทำความผิด แอบอ้างว่าเป็นผู้ค้า หลอกเงินจากขาช้อปทั้งหลาย หลังจากที่ได้เงินไปแล้ว ก็มักจะบล็อค หรือขาดการติดต่อ หายไปดื้อๆ ปล่อยให้ ลูกค้าที่ถูกหลอก เปลี่ยนสถานะป็น "ผู้เสียหาย" ทันที
เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้เสียหาย สามารถเข้าแจ้งความเอาผิดกับมิจฉาชีพได้ตามกฎหมาย แต่ต้องแจ้งความภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิด โดยไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เช่น สถานที่โอนเงิน ถ้าโอนเงินออนไลน์ที่บ้าน ก็แจ้งได้ที่สถานีตำรวจที่บ้านตั้งอยู่
โดยผู้เสียหายต้องเตรียมเอกสาร เพื่อใช้ประกอบการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนี้
1. ข้อความแชท ที่ผู้เสียหายพูดคุยระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
2. หมายเลขบัญชีธนาคารที่โอนเงินไป
3. สลิป การโอนเงินชำระค่าสินค้า
4. หมายเลขโทรศัพท์ร้านค้า
5. รูปโปรไฟล์ร้านค้าที่ขายของ
จากนั้นนำหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งความที่สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ ภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่รู้ว่าถูกโกง โดยต้องระบุกับเจ้าหน้าที่ต้องการแจ้งความดำเนินคดี ไม่ใช่เป็นเพียงการลงบันทึกประจำวัน หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จะออกหนังสือตรวจสอบรายการเดินบัญชี(สเตทเม้น) ไปยังธนาคาร มาประกอบสำนวนการสอบสวนต่อไป หรือผู้เสียหาย จะเดินทางไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)
สำหรับฐานความผิดที่ผู้ขายไม่ส่งสินค้าให้ ถือเป็นความผิดในข้อหา
- ฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกหรือแจ้งให้ทราบ มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มีอายุความ 3 เดือน)
- พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 นำเข้าซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ หลอกลวง ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท (มีอายุความ 10 ปี)
ขอบคุณข้อมูลจาก กองปราบปราม และ คมชัดลึก