เนื่องด้วยการบริโภคอาหาร ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจทำให้เสียสุขภาพ ซึ่งตรงจุดนี้ทางกระทรวงการคลัง เล็งเห็นถึงปัญหาสุขภาพของประชาชน จึงคิดพิจารณาเก็บ ภาษีความเค็ม!
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2564 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข กรมสรรพสามิต สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ เครือข่ายลดบริโภคเค็ม จัดการประชุมสัมมนา เพื่อการขับเคลื่อนมาตรการลดการบริโภคเกลือโซเดียมในประชากรไทย
โดย ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ความเค็มถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคติดต่อเรื้อรัง อันเนื่องมาจากการนิยมบริโภคเกลือโซเดียมของประชาชน โดยจะนำไปสู่การเป็นโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง และโรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น
ทั้งนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต "ความเค็ม" ตามปริมาณเกลือโซเดียม โดยมาตรการภาษีสรรพสามิตเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยสนับสนุนให้ประชาชน และผู้ประกอบอุตสาหกรรมลดการบริโภคและลดการผลิตสินค้าที่มีปริมาณโซเดียมสูง ร่วมกับการใช้มาตรการอื่นที่ไม่ใช่ภาษี
อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บภาษีจากความเค็มนั้น ต้องพิจารณาว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างไร อาจต้องใช้เวลา เพราะต้องหารืออย่างรอบคอบกับผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิตอาหาร ส่วนวิธีการจัดเก็บภาษีความเค็ม นี้ จะจัดเก็บทั้งจากอาหารสำเร็จรูป และอาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว รวมถึงเครื่องปรุงอาหารทั้งหมด เช่น ผงชูรส น้ำปลา เกลือ ผงปรุงรส เป็นต้น โดยจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยดูแล เช่น สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ขณะที่ร้านอาหาร ภัตตาคาร ก็จะมีองค์การอาหารและยา (อย.) เข้ามาช่วยดูคุณภาพ โดยจะใช้ระบบเดียวกับภาษีความหวานที่ต้องมีการวัดปริมาณที่ชัดเจน...
ขอบคุณข้อมูลจาก: สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว, กระทรวงการคลัง