เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภครายใหญ่ เปิดเผยระหว่างการแถลงข่าวจัดงานสหกรุ๊ปฯ แฟร์ว่า ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้เกิดภาวะน้ำมันแพง

ราคาวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสินค้าหลายประเภท เช่น ข้าวสาลี น้ำมันปาล์ม เพิ่มสูงขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จากความกังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าหลายรายการ ทำให้มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคา
ทั้งนี้ สินค้ากลุ่มแรก ๆ ที่ได้ยื่นขอปรับราคาไป คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตามด้วยผงซักฟอก แต่ยังบอกไม่ได้ว่าขอปรับขึ้นเท่าไหร่

นายบุณยสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้ได้ยื่นเรื่องขอปรับราคาสินค้าหลายรายการ ไปยังกระทรวงพาณิชย์แล้ว เนื่องจากแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหว จำเป็นต้องมีการปรับขึ้นราคา หากไม่ปรับขึ้นราคาก็อยู่ไม่ได้ แต่ต้องมองผู้บริโภคด้วยว่า
หากขึ้นราคาจะยอมรับได้หรือไม่ อาจต้องใช้วิธีการค่อย ๆ ทยอยปรับขึ้นราคา และต้องดูว่าจะขึ้นอย่างไร ไม่ให้ผู้บริโภคเดือดร้อน ต้องมีเวลาให้ผู้บริโภคเตรียมตัว เตรียมใจก่อน พร้อมย้ำว่า ในเวลานี้ หลายประเทศมีการปรับขึ้นราคาสินค้าไปหมด ไทยไม่ขึ้นราคาไม่ได้แล้ว และหากมีการคุมราคานาน ก็มีโอกาสที่สินค้าจะขาดแคลน

นายบุณยสิทธิ์ ระบุว่า ที่ผ่านมาเคยเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายครั้งที่รุนแรง เช่น วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 40 ซึ่งผ่านไป 26 ปีแล้ว มาเจอกับวิกฤตในครั้งนี้ ถือว่าเป็นวิกฤตที่รุนแรงกว่า เพราะส่งผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ยังมองในแง่ดีว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศไทย จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศอื่น และได้เปรียบกว่า เพราะไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกอาหาร ถ้าขึ้นราคาในประเทศไม่ได้ ก็อาจต้องไปโฟกัสที่การส่งออกสินค้าแทน

ประธานเครือสหพัฒน์ ยังเชื่อว่ากำลังซื้อของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วกว่าประเทศใกล้เคียง ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลทำอยู่ถือว่าใช้ได้ และไม่บังอาจจะเสนอแนะอะไรไปยังรัฐบาล

ขอบคุณ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว และ SahaGroup