จากกรณี น้องโชค นักเรียนชั้น ม.3 ถูกยิงในห้องเรียนคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน ซึ่งแรกเริ่มหลังเกิดเหตุ เพื่อนให้การว่าคีย์บอร์ดระเบิดใส่ ซึ่งทุกคนที่รับทราบข่าวต่างก็ลงความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่คีย์บอร์ดจะระเบิด จนกระทั่งมีการสอบสวน เค้นจนเพื่อนยอมรับว่า เอาปืนมาโรงเรียน แล้วอ้างว่าทำปืนลั่นใส่โชค ซึ่งทางครอบครัวยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นเหตุปืนลั่น และยังหวังว่าผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงวิถีกระสุน ยังไม่สอดคล้องกับคำให้การว่า “ปืนลั่น” วันนี้รายการโหนกระแส ได้พูดคุยกับครอบครัวของน้องโชค, ทนายโป้ง เกียรติคุณ ต้นยาง และ แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

คุณแม่ของน้องโชค เล่านาทีที่ทางโรงเรียนโทรมาแจ้งว่า โชคประสบอุบัติเหตุ นิดหน่อย ขอให้คุณแม่รีบมาที่โรงเรียนได้หรือไม่ กระทั่งมีเสียงญาติตะโกนเข้ามาจากปลายสายฝั่งนั้นว่า “โชคปั๊มหัวใจอยู่” แต่ยังไม่ทันจะไปถึงโรงเรียน ก็มีญาติโทรมาบอกว่าโชคเสียแล้ว ซึ่งตอนนั้นมันเหมือนแบลงก์ไปเลย ตนมีลูกอยู่คนเดียว

แม่วิ่งขึ้นไปบนตึก เห็นแค่ยายสองคนนั่งร้องไห้ ส่วนศพลูกคลุมผ้าขาวไปแล้ว โรงเรียนบอกว่าคีย์บอร์ดระเบิด แม่ก็ถามว่า แม่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืน ยังไม่เป็นอะไรเลย ส่วนยายซึ่งไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ ก็เชื่อตามที่ครูบอกไปแล้ว ด้วยความเป็นครูก็เชื่อว่าเขาคงไม่โกหกเรา จนเริ่มได้ยินคนพูด คายเบาะแสออกมาเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่าหลานเราไม่ได้ตายเพราะคีย์บอร์ด

แม่ของโชคยังบอกว่า ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งมาก่อนหน้านี้ ท่านไม่ได้แจ้งว่าปืนลั่น แต่มันเป็นการตั้งใจยิง ท่านยังบอกว่า เด็กคนนี้ใจร้ายมากนะ โทษมันประหารชีวิตเลยนะ ถึงจะเป็นเยาวชนก็เถอะ ต้องหาหลักฐานให้รัดกุม ยายของโชคเป็นคนถามตำรวจเลยว่า คนก่อเหตุเขาเป็นเยาวชนไม่ใช่หรือ แต่ตำรวจท่านก็บอกว่า ต้องเอาให้ถึงที่สุด ต้องได้รับโทษถึงที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนแถลงข่าวออกมาถึงกลายเป็นเรื่องปืนลั่นไปได้

แม่ของโชคยังบอกว่า ได้เจอกับเด็กที่ก่อเหตุ ที่หอบเอาพานธูปเทียนมาขอขมาศพของน้องโชค แต่แม่ไม่ขอรับคำขอขมา ฟังจากน้ำเสียงคำพูดยังห้าวเหมือนเดิม ไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกผิด หรือสำนึกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย
หลังเกิดเรื่องมันมีหลายเรื่องที่ทำให้แม่ทำใจเชื่อไม่ลงว่าเป็นอุบัติเหตุ ก่อนที่จะมาออกรายการ ตำรวจที่ไปร่วมงานศพของน้องยังบอกว่า อย่าไปออกรายการเลย มันจะทำให้เรื่องยุ่งยาก ตอนนี้ได้ภาพวงจรปิดมาแล้ว ตอนแรกจะไรท์ลงแผ่นให้คุณแม่ แต่ถ้ามาออกรายการ ก็คงให้ไม่ได้แล้ว จากที่ตอนแรกจะเผาศพของโชคในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ทางครอบครัวตัดสินใจว่าจะไม่เผาศพลูก จนกว่าคดีการเสียชีวิตจะสิ้นสงสัย
คุณยายของโชค ยังยืนยันว่า ไม่เคยเห็นเด็กผู้ก่อเหตุ ไม่ใช่เพื่อนสนิทของหลานอย่างที่มีข่าวออกมา เพราะกลุ่มเพื่อนสนิทของโชค ยายจะเคยเห็นหน้าเห็นตามาตลอด

ด้าน น้าตั้ม น้าของโชค บอกว่า เหตุการณ์ที่มีคนมาเล่าให้ฟัง 3 ครั้ง เป็นคนละเรื่องกันทั้งหมด ครั้งแรกบอกว่า ตั้งใจยิง ครั้งที่ 2 บอกว่าเอาเสื้อกันหนาวมาใส่แล้วปืนหล่นพื้นแล้วลั่นใส่โชค แล้วรอบที่ 3 ก็มาเล่าว่า ปืนหล่นใส่คีย์บอร์ด แล้วคีย์บอร์ดแตก กระสุนพุ่งเข้าที่เดิม
น้าตั้มบอกว่า วิถีกระสุนมันเกินจะเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องปืนลั่น เพราะกระสุนเข้าที่คิ้วซ้าย ทะละหลังหูขวา ถ้าปืนลั่นมันควรจะทะลุขึ้นด้านบน หรือถ้าบอกว่าปืนลั่น แล้วกระสุนมันจะกระเด้งจากคีย์บอร์ด ไปโดนกำแพงได้อย่างไร

ขณะที่ นายเกียรติคุณ ต้นยาง หรือ ทนายโป้ง ทนายความของทางครอบครัวเผยว่า คุณแม่ยังไม่ถูกเรียกไปสอบปากคำในฐานะผู้เสียหายด้วยซ้ำ จนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้ ทั้งที่เรื่องข้อเท็จจริง ความสัมพันธ์ระหว่างโชคและเพื่อน หรือรายละเอียดต่างๆ เป็นประเด็นสำคัญในคดี ตนจึงมองว่าการที่ตำรวจจะออกมาพูดว่าเป็นอุบัติเหตุปืนลั่นนั้น “มันเร็วและง่ายเกินไป” ที่จะสรุปแบบนี้

ขณะที่ แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า การพิสูจน์ด้วยนิติวิทยาศาสตร์ในคดีนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความยุ่งยาก คือการที่คนไม่รู้แล้วด่วนสรุป ด่วนให้ข้อมูลกับสื่อ ให้ข้อมูลกับครอบครัว แต่จริงๆ แล้วมันต้องให้เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์มาตรวจพิสูจน์กันให้ชัด อย่างแรกต้องสรุปให้ได้ก่อนว่าปืนหล่นใส่คีย์บอร์ดจริงหรือไม่ เรื่องนี้พิสูจน์ไม่ยาก การที่วิถีกระสุนที่เข้าคิ้วซ้าย ทะลุกกหูขวา ก็เกิดจากปืนตกได้หรือไม่ ตัวแปรคือท่าทางของเหยื่อตอนเกิดเหตุ ว่าอยู่ในท่าทางไหน

อีกทั้งเรื่องคราบเขม่าที่เป็นวงรอบบาดแผล ก็บอกได้ว่าปากกระบอกปืนอยู่ห่างจากเหยื่อแค่ไหน เท่าที่ประเมินด้วยสายตาอาจจะประมาณ 45 เซนติเมตร แต่ก็ต้องเอาปืนมาทดลองยิง เทียบขนาดคราบเขม่า แล้วการตรวจคราบเขม่าที่ตัวผู้ก่อเหตุ ได้ตรวจหรือไม่ ตรวจหลังเกิดเหตุนานแค่ไหน คราบเขม่ามันอยู่ได้ไม่นาน ถ้าตรวจแล้วไม่เจอก็อย่าเพิ่งเชื่อ
นอกจากนี้ยังเห็นภาพที่ตำรวจเอาคีย์บอร์ดอันที่แตก ออกจากถุงไปทดลองวางในที่เกิดเหตุ มันเป็นวัตถุพยาน ทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้าหากจะต้องส่งวัตถุพยานชิ้นนี้ให้หน่วยงานอื่นตรวจมาเทียบกันก็อาจจะมีปัญหาอีก เพราะยืนยันไม่ได้ว่าเป็นคีย์บอร์ดอันเดียวกันกับตอนเกิดเหตุหรือไม่

ขณะที่ รองแต้ม พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีต รองผบช.น. เข้าสายมาให้ข้อมูลว่า ในเรื่องที่ว่าปืนตกแล้วลั่นใส่เหยื่อนั้น มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ปืนตกอย่างไรก็ไม่ลั่น กลไกมันต้องมีคนเหนี่ยวไก ต่อให้เป็นปืนไทยประดิษฐ์หรือปืนนอก มันก็ต้องมีคนเหนี่ยวไกทั้งนั้น จะมาบอกว่าปืนตกใส่พื้นแล้วลั่น แล้วตรวจพื้นหรือไม่ว่าคราบเขม่าหรือเปล่า เรื่องนี้ขอให้ตำรวจที่รับผิดชอบทำให้ดี ทำให้เป็นคดีตัวอย่าง อย่าด่วนสรุป ให้รวบรวมพยานหลักฐานให้แน่นหนา ครบถ้วน

ขอบคุณ โหนกระแส