โควิดไทยส่อแววกลับมาเป็นขาขึ้น กรมควบคุมโรคระบุยอดติดเชื้อรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทั้งผู้ป่วยใหม่เข้า รพ.-ปอดอักเสบ-ผู้เสียชีวิต มีแนวโน้มจะพุ่งสูงสุดหลังปีใหม่
สถานการณ์โควิดฯ ในไทยเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่า 2-3 สัปดาห์ก่อน ประมาณ 4-5% โดยเป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คาดการณ์ว่า ช่วงปลายปีซึ่งเป็นฤดูหนาว จะมีการติดเชื้อและป่วยด้วยโรคโควิดฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการเปิดเทอม รวมถึงมีกิจกรรมต่างๆ เช่น ฮาโลวีน ลอยกระทง และต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเทศกาลปีใหม่
![](https://u1.jarm.com/news/2022/11/171454/16684099442.jpg)
โดยวันนี้ (14 พ.ย.65) ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานว่า
ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 6 -12 พฤศจิกายน 2565 พบว่า...
ผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์) จำนวน 3,166 ราย : เฉลี่ยรายวัน จำนวน 452 ราย/วัน
และผู้เสียชีวิต (รายสัปดาห์) จำนวน 42 ราย : เฉลี่ยรายวัน จำนวน 6 ราย/วัน
ขณะที่หายป่วยสะสม 2,474,938 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) เสียชีวิตสะสม
![](https://u1.jarm.com/news/2022/11/171454/16684099469.jpg)
ขณะที่ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กเปรียบเทียบอาการระหว่างสายพันธุ์ของโควิด 19 ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยระบุว่า...
“Whitaker M และคณะ จากสหราชอาณาจักร เผยแพร่ผลการศึกษาในวารสาร Nature Communications เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา
ทำการศึกษาในกลุ่มประชากร 1,542,510 คน ที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 ตลอดช่วงการระบาดที่ผ่านมาตั้งแต่สายพันธุ์ดั้งเดิม อัลฟ่า เดลต้า และ Omicron BA.1 และ BA.2
เปรียบเทียบลักษณะอาการป่วย 26 อาการ ระหว่างสายพันธุ์ต่างๆ
ชี้ให้เห็นว่าการติดเชื้อ Omicron มีโอกาสที่จะเกิดอาการป่วยมากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า
ทั้งนี้ อาการที่พบในสายพันธุ์ Omicron นั้น นอกจากที่เหมือนกับสายพันธุ์อื่นคือ ไข้ ไอ และปวดกล้ามเนื้อแล้ว อาการที่แตกต่างจากสายพันธุ์อื่นคือ การเจ็บคอ เสียงแหบ ปวดหัว คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม
![](https://u1.jarm.com/news/2022/11/171454/16684099455.jpg)
ในขณะที่ความผิดปกติของการรับรสและการดมกลิ่นนั้น ก็ยังเกิดขึ้นได้ แต่พบน้อยลงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า
...ข้อมูลข้างต้นจึงสะท้อนให้เราทราบธรรมชาติของโรคที่ประสบกันอยู่ และควรตระหนักถึงอาการข้างต้น หากใครป่วย มีอาการดังกล่าว ต้องนึกถึงโควิด-19 ด้วยเสมอ แยกตัวจากผู้อื่น และตรวจ ATK ด้วย เพื่อจะได้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาได้ถูกต้อง ทันเวลา
...ระลอกปลายปีนี้ ไทยเราคงต้องระวัง เพราะปัจจัยพื้นฐานไม่เหมือนยุโรปและสิงคโปร์
ระลอกที่กำลังเผชิญนั้นช้ากว่าเขา 6-8 สัปดาห์ และตกอยู่ในช่วงที่คนจำนวนมากได้รับเข็มสุดท้ายมานานกว่า 6 เดือน
ความรู้จากงานวิจัยหลายชิ้นก่อนหน้านี้ ที่เคยชี้ให้เห็นว่า ประสิทธิภาพวัคซีนในการลดความรุนแรงอาจคงอยู่ถึงประมาณ 7 เดือนแล้วจะถดถอยลงมาก
![](https://u1.jarm.com/news/2022/11/171454/16684099454.jpg)
ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลไตรมาสปลายปี ที่เกิดกิจกรรมเสี่ยง แออัด และท่องเที่ยวกันมาก
จึงต้องช่วยกันป้องกันตัวสม่ำเสมอ ไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครบตามกำหนด
ลดละเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง สถานที่แออัด ระบายอากาศไม่ดี
โรงพยาบาลควรตรวจคัดกรองผู้ป่วยในก่อนรับเข้ารักษา เพื่อปกป้องผู้ป่วยทุกคนและบุคลากรทางการแพทย์ เรื่องนี้ควรถือเป็นสิทธิของทุกคนที่จะได้รับการดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัย
คนติดเชื้อ ไม่สบาย ควรแยกตัวจากคนอื่น 7-10 วันจนดีขึ้น ไม่มีไข้ และตรวจ ATK ได้ผลลบ
สำคัญที่สุดคือ การใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ระหว่างใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน”
![](https://u1.jarm.com/news/2022/11/171454/16684099468.jpg)
![](https://u1.jarm.com/news/2022/11/171454/16684099457.jpg)
![](https://u1.jarm.com/news/2022/11/171454/16684099456.jpg)
อย่างไรก็ตามทาง Jarm.com ขอประชาชนควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ ไม่ติดเชื้อย่อมดีที่สุด นอกจากนี้การใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน หมั่นล้างมือ กินอาหารปรุงสุก จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก
![](https://u1.jarm.com/news/2022/11/171454/16684099441.jpg)
ขอบคุณ ศูนย์ข้อมูล COVID-19 , Thira Woratanarat